ผู้นำที่ยังไม่พร้อม: ในวันที่ประเทศถูกทดสอบจากทุกทิศ!

ภาวะผู้นำ” ไม่ใช่สิ่งที่ประกาศให้คนเชื่อ แต่เป็นสิ่งที่ปรากฏผ่านการตัดสินใจในยามยาก และในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แพทองธาร ชินวัตร กำลังถูกทดสอบด้วยโจทย์ที่ซับซ้อนเกินกว่าการประคับประคองรัฐบาลผสม

กรณี สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ โดยไทยโดนภาษีสูงถึง 36% กลายเป็น หมัดหนัก ที่รัฐบาลไทยตั้งตัวไม่ทัน การตอบสนองจากรัฐบาลไทย กลับเต็มไปด้วยถ้อยคำเชิงขอความเห็นใจมากกว่าการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและมั่นคง

แทนที่จะรับมือสถานการณ์ด้วยท่าทีเด็ดขาดหรือเสนอแนวทางเชิงรุกอย่างมีชั้นเชิง คำแถลงล่าสุดวันนี้ของ “แพทองธาร” นายกรัฐมนตรี กลับกลายเป็นเพียง การปลอบใจประชาชนในประเทศ โดยวิงวอนให้เชื่อมั่นในรัฐบาล ท่ามกลางความเงียบงันในเวทีระหว่างประเทศ

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึง ความลังเล ความไม่มั่นใจ และอาจชี้ถึงการขาดความเข้าใจในกลไกการทูตเชิงผลประโยชน์ที่สหรัฐฯ ใช้อย่างชำนาญต่อประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย

ที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือภาพของ นายกรัฐมนตรีหญิง ที่ยังไม่อาจก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางความเชื่อมั่นในยามที่ประเทศต้องการความมั่นคงและทิศทางที่แน่นอน ผู้คนเริ่มตั้งคำถาม ถึงภาวะผู้นำที่พร่าเลือน ไม่เฉพาะในเชิงยุทธศาสตร์ แต่รวมถึงการกำกับดูแลคณะรัฐมนตรีของตัวเอง

ขณะเดียวกัน ภายในประเทศยังเต็มไปด้วยแรงเสียดทานทางการเมืองและสังคม โดยเฉพาะความพยายามผลักดันนโยบาย “กาสิโน” อย่างเร่งรีบ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากภาคประชาสังคม ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้งหรือรอบด้าน แต่กลับดูเหมือนการเดินเกมเพื่อรายได้ระยะสั้นมากกว่าการออกแบบอนาคตของประเทศ

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้อยคำของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่กล่าวว่า

“สหรัฐฯ มีมาตรการภาษีที่กระทบประเทศต่างๆ อย่างรุนแรง และประเทศไทยโดนภาษีสูงถึง 36% ซึ่งเป็นโอกาส (กาสิโน) ที่จะเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นในระบบ”

กลับยิ่งสะท้อนถึงการหยิบฉวยสถานการณ์มาใช้เป็นข้ออ้างในการเร่งผลักดันโครงการบ่อนกาสิโน

นี่คือคำพูดที่ ฉาบฉวย และแทบ ไม่อิงกับหลักคิดเชิงเศรษฐกิจ หรือ โครงสร้างสังคมใดๆ เหมือนกับการใช้ “วิกฤติ” เป็นบันไดเพื่อสร้าง “วิกฤติซ้อน” ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง

คำถามที่ตามมาก็คือ ในฐานะผู้นำรัฐบาล แพทองธาร จะสามารถปล่อยให้รัฐมนตรีภายใต้กำกับของตนแสดงท่าทีเช่นนี้ โดยไม่สะท้อนกลับมาที่ภาวะผู้นำของตัวเองได้อย่างไร?

การปล่อยให้คำพูดที่ขาดความลุ่มลึกเช่นนี้ออกจากปาก คีย์แมนของรัฐบาล โดยไม่มีการปรับท่าทีหรือทบทวนกลยุทธ์ เป็นสัญญาณของการ ควบคุมทิศทางรัฐบาลที่ล้มเหลว โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ประเทศเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากทั้งภายในและภายนอก

การเร่งเปิด กาสิโน ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว เสถียรภาพสังคมยังไม่แน่นหนา และความเหลื่อมล้ำยังครุกรุ่น จึงไม่ใช่สัญญาณของความกล้าหาญหรือทันยุค แต่เป็นการสะท้อนชัดว่า รัฐบาลกำลังยึดติดกับ “ภาพความสำเร็จปลอม” แทนที่จะยืนอยู่บนฐานของ “อำนาจที่มีความหมาย”

พร้อมกันนั้น ประเทศยังเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวที่แม้จะเกิดไกลจากเมืองหลวง แต่กลับส่งแรงสะเทือนไปถึงอาคารสูงในกรุงเทพฯ และสิ่งที่ตามมาคือ ความตื่นตระหนก จากประชาชนที่ไร้การสื่อสารจากผู้นำโดยตรง

ในช่วงเวลาที่ประชาชนต้องการคำอธิบายอย่างเร่งด่วน ต้องการแผนการรับมือ หรือแม้แต่ถ้อยคำปลอบขวัญจากผู้นำ สิ่งที่กลับมาแทนคือความเงียบ หรือคำพูดที่ไม่มีสาระใดๆ ซึ่งเหมือนแค่การปลอบใจผ่านวันไปเท่านั้น

ภาพของผู้นำที่ไม่รู้จักบทบาทของตนในช่วงวิกฤตสะท้อนถึงภาวะ “ไร้ศูนย์กลาง” ทางการเมืองที่น่าเป็นห่วง และยิ่งตอกย้ำคำถามว่า ประเทศกำลังเดินไปข้างหน้าโดยไม่มีใครจับเข็มทิศไว้ในมือหรือไม่

ปัญหาภายในรัฐบาล แม้ภายนอกจะดูเหมือนมีเอกภาพ แต่ในความเป็นจริงกลับเต็มไปด้วยการเจรจาอำนาจที่ขาด จุดศูนย์กลางที่ชัดเจน โดยไม่สามารถระบุได้ว่า แพทองธาร หรือ ทักษิณ เป็นผู้ที่ทำหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางที่แท้จริง ซึ่ง สะท้อนถึงความไม่ลงตัวในกลไกการทำงานภายในรัฐบาล และนำไปสู่ความไม่พอใจจากประชาชนที่คาดหวังใน ประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล

ในขณะเดียวกัน โลกภายนอก กดดันมากขึ้นทุกวัน สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นพันธมิตรที่พร้อมสนับสนุนไทยเหมือนเดิมอีกต่อไป และจีนเองก็ยังเฝ้ามองไทยอย่างระมัดระวัง ความไม่แน่นอน ในภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มแรงกดดันทั้งในระดับการทูตและเศรษฐกิจ

เมื่อสถานการณ์ระหว่างประเทศแปรผัน การขาดผู้นำที่เข้าใจพลวัตเชิงยุทธศาสตร์ย่อมทำให้ไทยสูญเสียโอกาสทั้งในเวทีการทูตและเศรษฐกิจ รวมถึงทำให้ประเทศดูเหมือนไร้พลังในการเจรจาต่อรองในระดับโลก

ความเปราะบางของรัฐบาล ในวันนี้ไม่ได้เกิดจากฝ่ายค้านที่แข็งแรง แต่เกิดจากการขาด ภาวะผู้นำ ที่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในทั้งภายในและภายนอกประเทศได้อย่างแท้จริง

การเมืองที่ไม่สามารถสร้างทิศทางที่ชัดเจนในการจัดการปัญหาภายในจะยิ่งทำให้ผู้นำถูกทดสอบจากทุกทิศทางจนสูญเสียทั้งการควบคุมและความศรัทธาจากประชาชน

ประเทศไทยไม่สามารถรอผู้นำที่เพิ่งฝึกฝนบทนำ แต่ต้องการผู้นำที่พร้อมจะเป็น “เสียงของชาติ” ไม่ใช่เพียง “เสียงของตระกูล” ในวันที่โลกไม่อ่อนโยนและความจริงไม่ประนีประนอม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นักวิชาการ จี้รัฐบาลเร่งคลอดมาตรการ ป้องกัน 'จีน' สวมสิทธิ์สินค้า 'บริษัทไทย' หลังมีผู้ผลิตโซลาร์โดนสหรัฐ ขึ้นภาษี  

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เสนอรัฐบาลเร่งคลอดมาตรการป้องกัน ‘จีน’ สวมสิทธิ์บริษัทไทย เร่งฟื้นเชื่อมั่นสหรัฐฯ ผ่านการแก้ปัญหาจริงจัง ระบุควรตั้งกรรมการเฉพาะขึ้นมา และเปิดช่องให้ผู้แทนมะกันเข้ามาร่วมตรวจสอบสถานประกอบการเพื่อความไว้วางใจ

'หัวหน้าเท้ง' รอฟังคดีชั้น 14 มัดนายกฯ ผู้รู้เห็นอาการป่วยพ่อ

“ณัฐพงษ์”  รอฟัง 30 เม.ย.นี้ 'ศาลฎีกา' รับคำร้อง 'คดีชั้น 14' หรือไม่ ก่อนประเมินผลสะเทือนรัฐบาลมากน้อยเพียงใด ย้ำ 'นายกฯ' เป็นผู้รู้เห็นอาการป่วยทั้งหมด 

ทักษิณจะไปสหรัฐ ปลดล็อกภาษี-ดับไฟใต้ 'วาทกรรมคำโต' กับโลกแห่งความจริง

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ไร้ตำแหน่งทางการเมือง กลับมาเล่นบทผู้นำอีกครั้ง ผ่านการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา ทั้งในประเด็นการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และการแก้ปัญหาไฟใต้

เหน็บ 'นายกฯอิ๊งค์' ติดดิน-ตลาดล่าง ตอบเก่งแต่เรื่องกระพี้

แกนนำ คปท. โพสต์เหน็บ “แพทองธาร ชินวัตร” ตอบโต้เฉพาะเรื่องชุด-รองเท้า-แว่น แต่ไม่ตอบคำถามใหญ่เรื่องปากท้อง ชี้เหมือนนางอิจฉาในละครไทย ตอกย้ำภาพนายกฯติดดิน-ตลาดล่าง

'อิ๊งค์' หายป่วยลุยอีสานตอนบน สแกนพื้นที่ก่อนครม.สัญจร

นายกฯ ลงพื้นที่อีสานตอนบนจันทร์นี้ ก่อน ครม.สัญจร มั่นใจ นำปัญหาไปแก้ไขได้ตรงจุด พร้อมต่อยอดพัฒนาขีดความสามารถในแต่ละจังหวัด  

'ลีดเดอร์ชิพโพลล์' สะท้อนเสียงประชาชนกังวลผลเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ

ลีดเดอร์ชิพโพลล์เผยประชาชนกว่าร้อยละ 80 กังวลผลกระทบการเจรจาภาษีนำเข้าไทย-สหรัฐฯ เชื่อรัฐบาลยังเตรียมตัวไม่ชัด เสียงส่วนใหญ่อยากให้เน้นผลประโยชน์ระยะยาว ขณะความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลอยู่ในระดับปานกลาง