'ทวี' นำทีมDSI ถลก 'ไชน่าเรลเวย์ฯ' เจอพิรุธ 29 โครงการรัฐ 2.2 หมื่นล้าน จ่อออกหมายเรียก

‘ทวี’ นำทีม ‘ดีเอสไอ’ ถกนัดแรก คดีนอมินี บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ ปมตึก สตง.ถล่ม พบรับงาน 29 โครงการรัฐ บีบราคาต่ำ รวมมูลค่า 2.2 หมื่นล้าน สัปดาห์หน้าจ่อหมายเรียกพยานกลุ่มแรก พร้อมเร่งล่าตัว 2 กรรมการคนไทย

4 เม.ย. 2568 – จากกรณีที่ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ใช้อำนาจอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รับคดีนอมินี บริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทผู้ก่อสร้างที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (อาคาร สตง.) แห่งใหม่ ความสูง 30 ชั้นถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว เป็นคดีพิเศษที่ 32/2568 ตามความผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ต่อมามีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ รวมทั้งสิ้น 36 ราย โดยมี ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน และมี พ.ต.ท.อมร หงษ์ศรีทอง ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค เป็นรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 1 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการประชุมคดีพิเศษที่ 32/2568 ครั้งที่ 1 เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการสอบสวน โดยการประชุมครั้งนี้มี 3 ระเบียบวาระ ประกอบด้วย วาระที่ 1 เรื่องประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ วาระที่ 2 เรื่องเสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการสอบสวนคดีพิเศษตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 และวาระ 3 เรื่องอื่น (ถ้ามี) โดยในการประชุม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้เดินทางมาเป็นประธานในที่ประชุม พร้อมด้วย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ รวมทั้งสิ้น 36 ราย นำโดย พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค พ.ต.ท.อมร หงษ์ศรีทอง ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ร่วมกันประชุมคดีพิเศษดังกล่าว

โดย พ.ต.อ.ทวี กล่าวให้โอวาทก่อนเริ่มการประชุมว่า กรณีเหตุการณ์อาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (อาคาร สตง.) เกิดถล่มลงมา แล้วมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต และขณะนี้ก็ยังมีผู้สูญหายจำนวนมาก ซึ่งตัวเลขวานนี้ (3 เม.ย.) ปรากฏยอดผู้เสียชีวิตแล้ว 15 ราย มีจำนวนผู้ประสบภัย รวม 103 ราย เรื่องนี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งพื้นที่ประเทศไทยมี 320 ล้านไร่ แต่เรากลับต้องโฟกัสพื้นที่ภายในอาคาร สตง. ประมาณ 11 ไร่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องรวบรวมพยานหลักฐานและพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร และเมื่อได้สาเหตุแท้จริงแล้ว ก็จะดูต่อได้ว่ามันมีการกระทำผิดกฎหมายอะไรบ้าง โดยปกติแล้วพนักงานสอบสวนจะทำงานเกี่ยวข้องอยู่ 3 เรื่อง คือ 1.พยานบุคคล 2.พยานเอกสาร และ 3.พยานวัตถุ

ทั้งนี้ ด้วยความที่ไม่ได้มีใครเก่งไปทั้งหมด จึงต้องใช้พยานผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ประการทั้งหมดนี้เป็นโชคดีปนโชคร้ายของประเทศไทย เรามีหลักการและกฎหมายที่ดีจำนวนมาก แต่กฎหมายที่ดีก็มีจำนวนฟุ่มเฟือย และที่สำคัญ กฎหมายมาแบ่งเป็นอาณานิคมของกฎหมายใครกฎหมายมัน ดังนั้น เวลาเกิดเหตุขึ้นมา จึงทำให้แม้แต่เรื่องอุบัติเหตุอุบัติภัย ซึ่งพอเหตุอุบัติภัยมีการข้ามพื้นที่ ข้ามประเทศ การบริหารจัดการจึงมีความยาก และทุกหน่วยงานก็มีอาณานิคมของตัวเอง การทำงานของพนักงานสอบสวนในวันนี้จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากที่อธิบดีดีเอสไอได้รับคดีนอมินีเป็นคดีพิเศษ โดยเฉพาะประเด็น 3 กรรมการผู้ถือหุ้นชาวไทยในบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ได้แก่ นายโสภณ มีชัย ถือหุ้น 40.7997% นายประจวบ ศิริเขต ถือหุ้น 10.2% และ นายมานัส ศรีอนันท์ ถือหุ้น 0.0003% ปรากฏว่าได้มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอลงพื้นที่ติดตามตัวกรรมการคนไทยบางรายไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียบร้อยแล้ว เพื่อเตรียมเรียกสอบสวนปากคำตามขั้นตอน

ต่อมาเวลา 10.00 น. ที่ ห้องรับรองกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชั้น 2 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคารเอ) พ.ต.อ.ทวี พร้อมด้วย พ.ต.ต.ยุทธนา ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และ น.ส.กนกไรวินท์ บุรินทร์นันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบบัญชี ร่วมกันแถลงผลการประชุมคดีนอมินี บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ เบื้องต้น

โดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการประชุมของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 ในฐานะผู้อำนวยความยุติธรรมจึงมารับฟังข้อมูลและอยากให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมคณะทำงาน ได้รับทราบว่าคดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชนและต้องการความยุติธรรม ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะอ้างว่าแผ่นดินไหวแต่บนพื้นที่ 320 ล้านไร่ในประเทศไทย พบว่าเกิดขึ้นเพียงที่ดินก่อสร้างอาคารสำนักงานผู้ตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ พื้นที่เพียง 11 ไร่เท่านั้น ขณะนี้มีผู้เสียชีวิต 15 ราย และมีผู้ประสบเหตุ จำนวน 103 ราย ซึ่งต้องเร่งให้การช่วยเหลือ ถ้ายังมีชีวิตอยู่แม้จะมีหนทางไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม แนวทางการสอบสวนของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจำเป็นจะต้องมีพยานหลักฐาน และพยานบุคคลที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องไปสอบสวน รวมถึงพยานวัตถุว่าอะไรเป็นสาเหตุของอาคารถล่มจนมีผู้เสียชีวิต หากปล่อยให้อาคารชำรุดไปเลยก็จะโยนความผิดเพราะหาหลักฐานไม่ได้ และวัสดุอุปกรณ์เป็นยี่ห้อใดถือเป็นพยานวัตถุต้องประสานผู้รับผิดชอบ และอยากให้ผู้เชี่ยวชาญไปตรวจสอบถือเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญ ที่สำคัญอย่าเข้าไปเป็นอุปสรรค เราต้องเชื่อว่าบุคคลสูญหายยังมีชีวิตอยู่ การอยู่รอดชีวิตถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ทั้งนี้ ดีเอสไอมีการแต่งตั้งบุคคลที่มีประสิทธิภาพในหลายๆ เรื่อง เช่น คนที่ควบคุมการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและการประกอบธุรกิจบุคคลต่างด้าว คือ กระทรวงพาณิชย์ แต่พอเป็นกิจการร่วมค้า กระทรวงพาณิชย์ กลับไม่มีทะเบียนอ้างว่าไม่ใช่เป็นนิติบุคคลตามกฏหมายแพ่ง และหน่วยงานที่มารับผิดชอบมาเป็นกรมสรรพากรเพราะต้องมีการมาเสียภาษี ซึ่งไม่มีหน่วยงานโดยตรงที่รับผิดชอบเรื่องทะเบียนตรงนี้ จึงอยากให้ดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบ

ส่วนการจดทะเบียนกิจการร่วมค้า บริษัทต่างชาติไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว ต้องมีคนไทยร่วมถือหุ้นร้อยละ 51 และคนต่างด้าวร้อยละ 49 จึงอยากให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษไปตรวจสอบด้วยเพราะต้องตอบคำถามสังคมได้ ส่วนพบมี 11 บริษัทที่เป็นคนไทย ได้งานมาทั้งหมด 29 โครงการได้อย่างไร จึงจำเป็นต้องเข้าไปตรวจสอบเพราะอาจจะมีโครงการจำนวนมากกว่านี้ สำหรับผู้ที่ประกอบธุรกิจประเภทนี้อาจต้องการผลประโยชน์ ควรดูว่าจะเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินหรือไม่ แต่ถ้าพบความผิดการทุจริตในเนื้องานจะส่งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อ

ด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา เผยว่า นอกจากความผิดคดีนอมินีที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ก็ยังมีความผิดอื่นพิจารณาควบคู่ไปด้วย คือ ความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) ซึ่งความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 (นอมินี) โดยจะต้องดูว่าในส่วนคนไทยที่ไปถือหุ้นนั้น ต้องพิสูจน์ว่าเป็นการถือหุ้นโดยอำพรางหรือไม่

ทั้งนี้ จากรายงานการตรวจสอบเบื้องต้น พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีการไปตรวจสอบยังบ้านพักของนายประจวบ (สงวนนามสกุล) ที่ อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด แต่ไม่พบตัว พบเพียงภรรยา ซึ่งได้ให้ข้อมูลว่า นายประจวบมีรายได้น้อยมาก ทำงานรับจ้างเกี่ยวกับการก่อสร้าง ได้เงินเดือนประมาณหมื่นกว่าบาทเท่านั้น อีกทั้งนายประจวบกลับมาถึงบ้านก็ไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องตึก สตง. ถล่มให้ฟังว่าเกี่ยวข้องกับตนเองอย่างไร ก่อนออกจากบ้านไปแล้ว 2-3 วันก่อนหน้านี้ โดยไม่ได้แจ้งภรรยาว่าออกไปที่ไหนอย่างไร ซึ่งเราดูแนวโน้มเบื้องต้น ไม่สอดคล้องกับการที่เขาไปถือหุ้นในนิติบุคคลหลาย ๆ แห่ง นี่จึงเป็นสิ่งบ่งชี้ที่น่าเชื่อได้ว่าเป็นการถือหุ้นอำพราง หรือนอมินี นอกจากนี้ ในกรณีกรรมการผู้ถือหุ้นชาวไทยอีก 2 รายที่เหลือ คือ นายโสภณและนายมานัส เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามตัวเช่นเดียวกัน

พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า คณะพนักงานสอบสวนยังได้มีการจัดทำโครงสร้างรายชื่อกิจการร่วมค้าที่ บ.ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ที่ได้มีการไปเข้าร่วมกับนิติบุคคลหลายแห่ง แต่ในช่วงแรกเราจะโฟกัสไปที่กิจการร่วมค้าที่ไปร่วมกับ บ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ชนะในการแข่งขันราคาในกรณีการก่อสร้างตึก สตง. ส่วนนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน

ส่วนสัญญาที่บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เข้าร่วมค้าและได้รับงานจากภาครัฐ ตั้งแต่ปี 2562 – 2567 จำนวน 29 สัญญานั้น คณะพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการตรวจสอบเช่นเดียวกัน เพราะตอนนี้เรายังโฟกัสที่คดีนอมินีเป็นหลักก่อน นอกจากนี้ หากย้อนไปดูในส่วนของ 11 รายชื่อกิจการร่วมค้าของ บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ จะพบว่าหลายที่ก็ยังไม่ได้เกิดเหตุใด ๆ ยังปกติอยู่ ดังนั้น เราจึงไปดูในส่วนของ “กิจการร่วมค้า ไอทีดี ซีอาร์อีซี“ เป็นหลักก่อน

เมื่อถามว่า เวลาเจ้าหน้าที่ไปตรวจสถานที่แห่งใดจะพบว่าเอกสารล่องหนหายไป หรือมีการขนย้ายเอกสาร ประชาชนจึงหวั่นใจว่าจะสามารถได้เอกสารหลักฐานที่จะใช้พิจารณาดำเนินคดีกับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างไรบ้าง พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า ตอนนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุด เพราะเราก็มีอำนาจในการที่จะประสานติดตามพยานหลักฐานต่าง ๆ โดยเรามั่นใจว่าจะได้เอกสารสำคัญมาแน่นอน ส่วนกรณีที่มีรายงานข้อมูลว่าบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ เข้าไปเกี่ยวข้องกับบริษัทธุรกิจยางแห่งหนึ่งนั้น ขณะนี้ดีเอสไอยังไม่มีข้อมูลดังกล่าวแต่อย่างใด

พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด (Xin Ke Yuan Co., Ltd.) นั้น ดีเอสไอจะตรวจสอบถึงประเด็นที่เขาเป็นผู้จำหน่ายเหล็กให้กับบริษัทที่เกิดเหตุ เนื่องจากทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้ไปตรวจสอบแล้วพบว่ามีสินค้าบางรายการที่ไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ส่วนเรื่องฝุ่นแดงของเหล็ก ทราบว่าเป็นความผิดเกี่ยวกับการออกใบกำกับภาษีปลอม และเป็นเรื่องของมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเอสไออาจต้องไปดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ปัจจุบันทราบว่าที่ทำการของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ มีการใช้ที่อยู่เดียวกันในหลากหลายที่ อย่างสถานที่อาคารภายในซอยพุทธบูชา 44 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กทม. เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบพบว่านอกจากบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ จะใช้สถานที่นี้เป็นสำนักงานแล้วก็ยังมีอีก 4-5 นิติบุคคลที่มาใช้เป็นสำนักงานด้วยเช่นกัน สิ่งนี้เป็นข้อพิรุธที่ดีเอสไอได้รวบรวมไว้ในสำนวนการสอบสวน ส่วนปัจจุบันนี้สำนักงานที่แท้จริงของ บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ จะอยู่ที่ใดนั้น ขอให้คณะพนักงานสอบสวนไปตรวจสอบให้ครบถ้วนเพื่อความถูกต้อง ทั้งนี้ ในส่วนของเอกสารต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการตรวจยึดไว้เกี่ยวกับโครงการก่อสร้าง สตง. เราจะต้องมีการประสานเรื่องเอกสาร เพราะเมื่อเรารับเป็นคดีพิเศษแล้ว ก็จะต้องมีการโอนเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในคดีมาให้ดีเอสไอ จึงทำให้ในตอนนี้ดีเอสไอยังไม่ได้เห็นเอกสารเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างดังกล่าว

“ภายในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะสามารถออกหมายเรียกพยานกลุ่มแรกมาสอบสวนปากคำได้ แต่ขอเวลาให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ตรวจสอบสักระยะ” อธิบดีดีเอสไอ ระบุ.

ขณะที่ น.ส.กนกไรวินท์ บุรินทร์นันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบบัญชี กล่าวว่า จากการติดตามผู้ถือหุ้นชาวไทยทั้ง 3 ราย นายประจวบ นายโสภณ และนายมานัส ซึ่งจากข้อมูลพบว่าทั้ง 3 รายได้มาเป็นผู้ถือหุ้นและผู้ก่อตั้ง ตั้งแต่มีการก่อตั้งนิติบุคคลเกิดขึ้น โดยกรณีของนายมานัส ในช่วงแรกของการก่อตั้งนิติบุคคล เคยถือหุ้นถึง 360,000 หุ้น แต่ได้โอนหุ้นไปให้นายโสภณ ทำให้เหลือหุ้นเพียง 0.0003 โดยดีเอสไออยู่ระหว่างติดตามว่าการโอนหุ้นระหว่างสองคนนี้ เป็นการซื้อขายหุ้นแท้จริงหรือไม่ ประกอบกับบุคคลทั้งสามที่เป็นผู้ถือหุ้น เท่าที่ทราบในตอนนี้ยังไม่เคยประกอบอาชีพในเรื่องของการรับเหมาก่อสร้างมาก่อน แล้วเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ ทั้งยังรับงานภาครัฐ รวมไปถึงนายโสภณ ยังเข้าไปเป็นผู้บริหารงานร่วมกับชาวจีนอีกหนึ่งราย ซึ่งตอนนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติม

ส่วน ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า สำหรับพฤติการณ์การเป็นนอมินีแล้วผันตัวไปเป็นกิจการร่วมค้า เป็นการแสดงเอกสารอันเป็นเท็จเพื่อจะเข้าประมูลงานของภาครัฐหรือไม่ เพราะจากการตรวจสอบ พบว่าบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ สามารถประมูลงานของภาครัฐได้ 29 โครงการ ปัจจุบันเป็นเงินรวม 22,000 ล้านบาทในโครงการตามสัญญา ซึ่งถ้าเราสามารถพิสูจน์ได้ทั้งหมดนั้น มันจะทำให้เห็นความชัดเจน เนื่องจากเขาได้มีการแสดงเอกสารว่าเป็นคนไทย และเป็นคนไทยที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านการประมูลงาน แต่ได้มาร่วมค้ากับคนไทยที่มีประสบการณ์ทางด้านการประมูลงานมาก่อน โดยที่ต้องไปตรวจสอบว่าคนไทยเหล่านี้รู้เห็นเป็นใจหรือไม่ รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเราจะตรวจสอบว่าสามารถดำเนินการได้จริงหรือไม่ เอกสารกิจการร่วมค้าที่มาจากต่างประเทศจริงหรือไม่

“คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะพยายามค้นหาความจริงทั้งหมด เพราะท้ายสุดแล้วโครงการทั้ง 29 โครงการนี้ ล้วนได้ก่อสร้าง เพราะโครงการสุดท้าย โครงการที่ 29 พบว่าเป็นโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา วงเงิน 9,348 ล้านบาท อย่างไรคณะพนักงานสอบสวนขอเวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดไม่เกินสองเดือน เนื่องด้วยรายละเอียดค่อนข้างมีจำนวนเยอะ แต่มันจะทำให้ต่อจิ๊กซอว์ได้ว่าเหตุใดต้องเป็นต่างด้าว แล้วมาอำพรางเป็นคนไทย แล้วทำไมต้องเข้ามาเป็นกิจการร่วมค้าในประเทศไทย เหตุใดจึงไม่เข้าร่วมประมูลโครงการด้วยตัวเอง ทั้งที่กล่าวอ้างว่าเป็นคนไทย แล้วทำไมต้องมาร่วมประมูลกับบริษัทที่มีชื่อเสียง เพื่อให้รัฐเชื่อมั่นในเรื่องของการประมูล จนมันทำให้เกิดเหตุการณ์เลวร้าย ทั้งยังเป็นอาคารก่อสร้างเพียงแห่งเดียวที่อยู่ห่างจากจุดแผ่นดินไหว และเป็นอาคารสูงที่สุดแล้วเกิดถล่มลงมา” ร.ต.อ.สุรวุฒิ ระบุ

เมื่อถามว่า พฤติการณ์ของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ที่ผ่านมามีการยอมขาดทุนในโครงการประมูลงานภาครัฐเพื่อที่จะสะสมผลงาน สร้างความน่าเชื่อถือจนเข้าสู่การประมูลโครงการรัฐขนาดใหญ่ใช่หรือไม่นั้น ร.ต.อ.สุรวุฒิ แจงว่า สำหรับโครงการก่อสร้าง สตง. ราคากลางพบว่า 2,500 ล้านบาท แต่ประมูลได้ราคา 2,136 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ 15% ไม่เลยกฎเกณฑ์ที่ไทยกำหนด แต่ภาษานักก่อสร้างเรียกว่าเป็นการฟันงาน เพื่อจะบีบตัวเองลงมา ทั้งที่จริงๆ แล้วราคากลางของการก่อสร้างตึก สตง. มันเข้มข้นมาก ราคา 2,500 ล้านบาท ถือว่าเป็นมาตรฐานเกณฑ์ขั้นต่ำแล้ว แต่ทำไมยังดีดราคาลงมาได้ถึง 300-400 ล้านบาท เป็นสิ่งที่เราต้องค้นหาความจริงว่าบริษัทได้มีการนำเอาความอันเป็นเท็จ หรือแสดงข้อเท็จจริงอย่างไรที่ทำให้รัฐหลงผิด

สำหรับ 11 กิจการร่วมค้าที่ได้ไปร่วมกับ บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ จะถูกตรวจสอบ สอบสวนด้วยเช่นกัน เพราะถ้าพบความผิด แล้วผิดคนเดียวก็จะเป็นเรื่องยาก พร้อมยืนยันว่ากรรมการในบริษัทอื่นๆ เหล่านี้ ยังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เพียงแสดงให้เห็นว่ามีแผนประทุษกรรมในลักษณะนี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ สั่งทุกหน่วยงานปรับโหมดจากเรื่องแผ่นดินไหว เร่งผลักดันท่องเที่ยวสงกรานต์

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2568 ว่า ขออนุญาตสื่อสารว่าเรื่องของเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ส่งผลให้ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่น

ผู้รับเหมาไฟฟ้า ตึกสตง.ถล่ม เข้าให้ข้อมูลดีเอสไอ ปมโดนเบี้ยวค่าจ้าง 3.7 ล้านบาท

จากกรณีหัวหน้าผู้รับเหมาช่วงก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และผู้รับเหมากว่า 10 คน รวมตัวกันเดินทางไปที่จุดเกิดเหตุเพื่อพูดคุยไกล่เกลี่ยกับบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 จำกัด และ บริษัท 9PK ซึ่งเป็นบริษัทซับคอนแทค ที่ค้างค่าจ้างผู้รับเหมารวมกว่า 10 ล้านบาท

มองบน! 'ทวีไอพี' อุ้มกาสิโน ไม่เกี่ยวกับศาสนา ดีกว่ากฎหมายที่ผ่านการยึดอำนาจ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวถึงจุดยืนของพรรคประชาชาติต่อร่าง พ.ร.บ.การประกอบ