วันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13.20 น. แรงสั่นสะเทือนขนาด 8.2 ริกเตอร์ จากประเทศเมียนมาได้สร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับประเทศไทย ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างถึง 57 จังหวัด
โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุด อาคารหลายแห่งสั่นไหว บางแห่งเกิดรอยร้าวและที่ร้ายแรงที่สุด มีตึกสูงถล่มลงมาอย่างน่าสะพรึงกลัว
ผู้คนที่อยู่ในอาคารต่าง หนีตายออกมาสู่ท้องถนน ความโกลาหลเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงไซเรนของเจ้าหน้าที่กู้ภัย
ภาพผู้ประสบภัยที่เต็มไปด้วยบาดแผล น้ำตาและความสิ้นหวัง ฉายชัดถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
ข่าวรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตและผู้ติดค้างใต้ซากตึกจำนวนมาก ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชาชนต้องการความมั่นใจจากรัฐบาล แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็น คำถามจาก “ผู้นำประเทศ” เอง
หลังจากเกิดเหตุ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมด่วนในช่วงเช้าวันที่ 29 มีนาคม ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อติดตามสถานการณ์และหารือมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
การประชุมนี้ควรเป็นจุดที่ผู้นำประเทศแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการรับมือ แต่กลับกลายเป็นเวทีที่สะท้อนถึง “ความไม่พร้อมและความไม่แน่ใจ” ของตัวนายกรัฐมนตรีเอง
“ถามตัวดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะต้องทำตัวอย่างไร”
นี่คือคำพูดที่ออกจากปาก นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ในช่วงเวลาที่ประชาชนต้องการความชัดเจนมากที่สุด
การยอมรับว่า “ไม่รู้” อาจเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำให้ประชาชนรู้สึกว่าผู้นำเองก็กำลังสับสนไปด้วย กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ภาวะผู้นำในยามวิกฤติ ไม่ได้หมายความว่าต้องรู้ทุกอย่าง แต่ต้องเป็นศูนย์กลางของข้อมูล เป็นผู้กำหนดแนวทาง และทำให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
นอกจากนี้ คำพูดอีกส่วนของแพทองธารที่สะท้อนถึงปัญหาการสื่อสารในรัฐบาลคือ
“ดิฉันก็ผิดเองที่ไม่ได้ระบุว่าต้องส่งข้อความว่าอะไรบ้าง”
คำพูดนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความไม่เป็นระบบของการบริหารจัดการภัยพิบัติ ซึ่งปกติควรมีแผนล่วงหน้าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการแจ้งเตือนประชาชนผ่าน Cell Broadcast หรือ SMS ซึ่งเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ควรพร้อมใช้งานในสถานการณ์ฉุกเฉิน
การที่ต้องมาถกเถียงกัน ณ เวลาวิกฤติว่า “ควรส่งข้อความว่าอะไร” ตามคำพูดของผู้นำประเทศ แสดงให้เห็นว่าระบบการเตือนภัยยังมีช่องโหว่ที่อันตรายอย่างยิ่ง
หลังจากประชุม “แพทองธาร” ลงพื้นที่ด้วยการนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อตรวจสอบระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ต้องดูแลหลังภัยพิบัติ
การเดินทางครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ “นายกรัฐมนตรี” จะ “แสดงภาวะผู้นำ” ในยามวิกฤติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นคำถามที่สะท้อนถึงความไม่แน่ใจอีกครั้ง!
เมื่อนักข่าวถามถึงกรณีที่มีเพียงอาคารเดียวที่ถล่มลงมา “แพทองธาร” ตอบว่า
“ตนสงสัยเช่นนั้นเหมือนกัน ทำไมเป็นตึกเดียวที่มีปัญหา”
แทนที่จะแสดงความมั่นใจหรือให้คำตอบเชิงนโยบาย กลับกลายเป็นว่า “ผู้นำประเทศ” ตั้งคำถามเหมือน “ประชาชนทั่วไป”
สิ่งที่ประชาชนต้องการไม่ใช่การแสดงความสงสัยร่วมกัน แต่เป็นคำมั่นสัญญาที่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
แน่นอนว่า “ผู้นำประเทศไทย” กล่าวต่อไปว่า
“ดังนั้นจะไม่ปล่อยไปแน่นอน จะตามดูว่าเป็นเพราะอะไร…”
แต่คำพูดนี้ฟังดูเหมือนเป็นเพียง “การสัญญาว่าจะตรวจสอบ” มากกว่า “การให้คำตอบหรือแนวทางแก้ไข” ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการในขณะนั้น
หากเปรียบเทียบกับผู้นำประเทศอื่น ๆ ที่เผชิญกับภัยพิบัติ เช่น นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นหรือประธานาธิบดีสหรัฐฯ เราจะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน
• ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น ผู้นำของพวกเขาจะออกแถลงการณ์อย่างรวดเร็ว ให้ข้อมูลที่ชัดเจน และประกาศมาตรการที่เป็นรูปธรรม
• ในสหรัฐฯ เมื่อเกิดพายุเฮอริเคนหรือภัยธรรมชาติ ผู้นำมักแสดงออกถึงการควบคุมสถานการณ์ โดยมีข้อมูลที่เตรียมพร้อม และมีหน่วยงานที่พร้อมสนับสนุนอย่างเป็นระบบ
ในทางกลับกัน คำพูดของ “แพทองธาร ผู้นำไทย” สะท้อนถึง “ภาวะผู้นำที่ขาดความมั่นใจ” และ “การตั้งคำถามแทนที่จะให้คำตอบ” ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจในรัฐบาล โดยเฉพาะตัวผู้นำประเทศ อย่างแพทองธาร
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้เผยให้เห็นถึงจุดอ่อนในระบบการจัดการภัยพิบัติของไทย ไม่ว่าจะเป็นการเตือนภัย การช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือการสื่อสารของผู้นำ สิ่งที่รัฐบาลควรทำต่อไปคือ
1. ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติให้มีประสิทธิภาพ-Cell Broadcast ควรพร้อมใช้งานทันทีโดยไม่ต้องรอการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร
2. พัฒนาการซักซ้อมรับมือภัยพิบัติ – ทั้งภาครัฐและประชาชนควรมีการฝึกซ้อมเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้
3. เพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยของอาคาร – กำหนดให้มีการตรวจสอบโครงสร้างที่ชัดเจนและเข้มงวดขึ้น
4. ปรับปรุงการสื่อสารของผู้นำในยามวิกฤติ – ผู้นำควรมีทีมที่ปรึกษาในการเตรียมการสื่อสารอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างความมั่นใจ
แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่เพียงเขย่าตึกสูงในกรุงเทพฯ แต่สั่นคลอน “ภาวะผู้นำ” เมื่อประชาชนต้องการความชัดเจน กลับได้รับคำถามจาก “ผู้นำ” แทนคำตอบ เมื่อประเทศต้องการการตัดสินใจที่เด็ดขาด ผู้นำกลับแสดงความไม่แน่ใจ
คำถามสำคัญคือ รัฐบาลจะเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้หรือไม่ และจะสามารถสร้างระบบที่เข้มแข็งกว่านี้ได้ในอนาคต หรือสุดท้ายแล้วเหตุการณ์นี้จะเป็นเพียงอีกหนึ่งโศกนาฏกรรมที่ผ่านไป พร้อมกับบทเรียนที่ไม่มีใครนำไปใช้จริง?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กางตัวเลขเขี่ยภท. พท.ถูกรุมกินโต๊ะ?
กระแสข่าวปรับ ครม.เขี่ยพรรคภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล และเตรียมดึงพรรคพลังประชารัฐมาเสียบแทน หรือสั่งสอน โดยริบโควตากระทรวงมหาดไทย
'เทพไท' ซัดอุ๊งอิ๊งตอบคำถามสื่อสะท้อนธาตุแท้ขาดวุฒิภาวะทางการเมือง!
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิปพร้อมเนื้อหา
'เมียนมา' แผ่นดินไหวขนาด 2.4
กรมอุตุนิยมวิทยารายงานสั้นๆ พร้อมแผนที่
หอมแก้มกลบข่าวร้าว 'อนิจจังตำแหน่งนายกฯ' ก่อนปรับ ครม.!
ข่าวลือเรื่องการปรับ ครม. หลังสงกรานต์ ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่สะท้อนแรงสั่นสะเทือนที่เริ่มชัดในรัฐบาล ทั้งจากภายในพรรคเพื่อไทยเอง และเสียงวิจารณ์จากคนในสังคมที่เริ่มจับตาว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ กำลังไปไม่รอด
นายกฯ เผย ครม.สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขหลักเกณฑ์เยียวยาแผ่นดินไหว
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เรื่องการเยียวยาเหตุการณ์แผ่นดินไหว จะมีการตามเรื่องหลักเกณฑ์ กรมบัญชีกลางที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง