ตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องพ่อ 'แพทองธาร' ยืนยันไม่เกี่ยวข้องปมชั้น 14

"แพทองธาร" ยันไม่เกี่ยวข้องปม "ชั้น 14" เพราะตั้งแต่พ่อกลับไทยจนถึงวันออกจากรพ.ไม่ได้เป็นนายกฯ ก่อนเล่าเรื่องพ่อ ไม่ได้รับความยุติธรรม-เคยถูกลอบสังหาร พร้อมระบุถ้าก้าวไกลตั้งรัฐบาลได้ "ทักษิณ" ก็กลับมาอยู่ดี

25 มีนาคม 2568 - เวลา 15.40 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงถึงกรณีการอภิปรายถึงชั้น 14 ว่า ทราบว่าท่านสมาชิกฝ่ายค้านที่อภิปรายเรื่องนี้กับตนเอง เราก็มีความคิดเห็นที่ต่างกัน เพราะว่าท่านก็เคยไปมีความเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตร ที่จ. ภูเก็ต แต่อย่างไรตนเองก็เชื่อมั่นว่า ท่านคงไม่ได้ใช้อารมณ์ความรู้สึกจากตอนนั้น มาอภิปรายตนเองในวันนี้ด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า รายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้พูดไปในรายละเอียดหมดแล้ว ตนเองอยากจะขอชี้แจงประเด็นในฐานะของลูกสาวคนหนึ่ง เพราะตั้งแต่คุณพ่อ (นายทักษิณ ชินวัตร) กลับมาอยู่ที่ประเทศไทย จนถึงวันที่ออกจากโรงพยาบาลชั้น 14 ตนยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเลย ก็ไม่อยากให้ท่านอภิปรายให้เกิดความสับสน เหมือนกับว่าตนเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว และมีอำนาจในการสั่งข้าราชการ หรือสั่งใครใดๆ ตนเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและ ตอนนั้นไม่มีอำนาจใดๆเลย

"และในเรื่องของความถูกต้อง หรือระเบียบ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนก็ตาม ทุกคนที่มีหน้าที่รักษากฎระเบียบ เขาก็ต้องทำแบบนั้น อย่างที่บอกว่าการอภิปรายอะไรแบบนี้ ก็ต้องเห็นค่าของผู้ที่รักษากฎหมาย คนที่เป็นข้าราชการด้วย เพราะการพูดแบบนี้ เหมือนเป็นการด้อยค่าไปด้วยในตัว"

นางสาวแพทองธาร ระบุว่า ตอนนี้เชื่อเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าลูกคนไหนก็ตาม ที่เห็นความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อ ที่ผ่านมาเป็นเกือบ 20 ปี ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก แล้วก็สถานการณ์ที่ผ่านมาในรอบ 20 ปีของประเทศ เราทุกท่านก็ต้องทราบดีถึงความยากลำบากที่เรา และพี่น้องประชาชนได้ประสบมาในเรื่องของความอยุติธรรม

“ถ้าจะหาใครสักคน ที่เผชิญเรื่องของความไม่ยุติธรรม ดิฉันมั่นใจว่า ดร.ทักษิณ คือหนึ่งในคนท็อป ๆ เลยที่ได้รับความไม่ยุติธรรม” นางสาวแพทองธาร กล่าว

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ท่านได้ถูกยึดอำนาจทางการเมือง นอกจากถูกยึดอำนาจทางการเมืองแล้ว ยังถูกอายัดทรัพย์สิน ถูกยึดทรัพย์สิน ถูกลอบสังหารหลายรอบ

"ตอนนั้นตนเองอยู่มหาวิทยาลัย ทราบว่าคุณพ่อถูกลอบสังหาร แต่ว่าสมัยนั้นเครื่องมือสื่อสารไม่ดีเหมือนสมัยนี้ พอเราได้ยินมาเด็กอายุ 18 - 19 ปีคนหนึ่ง ที่ทราบว่ามีคนตั้งใจจะสังหาร ก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีหรอก แต่ในวันนั้นเอง ก็ไม่ทราบด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแค่ข่าว ต้องรออีกสักพักนึงว่าสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ ก็เป็นเหตุการณ์ที่ต้องลุ้น และไม่ใช่ครั้งเดียว มีหลายครั้งเป็นสิ่งที่เกิดความเจ็บปวดในครอบครัว"

นอกจากนี้แล้ว ยังต้องถูกพลัดพรากไปไกลกันอยู่คนละประเทศเสมอ พอเวลาผ่านมาสักพักตนเองพยายามที่จะเดินทางไปหาคุณพ่อบ่อย ๆ ก็จะได้ไม่คิดถึงกันมากจนเกินไป ก็ไปมาตลอด จนกระทั่งช่วงโควิด ที่การเดินทางยากลำบากมากขึ้น ซึ่งตอนนั้นท้องลูกคนแรกด้วย ในขณะนั้น เดินทางกลับมาก็ท้อง 7 เดือน พอดีก็มีการเสียน้ำตา เพราะไม่ทราบว่าโควิดจะหยุดเมื่อไหร่ เพราะตอนนั้น ไม่มีวัคซีน และคนที่บ้านก็เป็นห่วงว่าเราเดินทางแบบนั้น จะติดโควิดหรือไม่ เราก็ไม่ทราบว่ามันแรง หรือมันเบา โรงพยาบาลไหนมีที่รักษา ก็เป็นอย่างนึงที่ตนเองผ่านมากับครอบครัว

“แน่นอนว่าความไม่ยุติธรรมเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ทำให้ครอบครัวที่รักกันอยู่แล้ว ก็สนิทกันมากขึ้น เพราะเราผ่านช่วงเวลาที่ลำบากมาด้วยกัน และเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันเติบโตขึ้นมาอย่างมีสติ และทราบว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรไม่ควร และต้องเห็นใจซึ่งกันและกันอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่ได้ฝึกฝนตัวเองมาอยู่ในเรื่องของความลำบาก ก็มีข้อดีที่ซ่อนอยู่ในนั้นเสมอตนเองเชื่ออย่างนั้น” นางสาวแพทองธาร กล่าว

นางสาวแพทองธาร กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีสมาชิกกล่าวหาว่าที่คุณพ่อได้กลับมา เพราะมีการดีลกับปีศาจผ่านการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ โดย 100% ไม่ใช่ความจริงเลย เพราะนี่คือการตัดสินใจของท่านอย่างเต็มรูปแบบว่าจะกลับมา ตนเองด้วยความที่รู้จักคุณพ่อ ก็ไม่อยากให้ท่านกลับมาแล้วต้องติดคุก หรือต้องถูกจำกัดที่ทาง ตนเองก็เป็นห่วง เลยบอกว่าไม่เป็นไรไหม อยู่เมืองนอก เราก็เจอกันได้ แต่ท่านก็บอกเลยว่า อยากใช้เวลาที่เหลือของท่าน เพราะปีนี้ก็อายุ 75 ปีแล้ว อยากใช้เวลาที่เหลือกับครอบครัวที่เมืองไทย อยากอยู่เมืองไทย เพราะชีวิตท่านเติบโตที่เมืองไทยมาโดยตลอด ท่านมีความรัก และห่วงพี่น้องประชาชนอย่างมาก คิดอะไรก็จะคิดเรื่องเศรษฐกิจให้พี่น้องประชาชนรวย ตนเองก็ฟังท่าน และรู้สึกว่ามีแพสชั่น มีแรงบันดาลใจในการทำงาน เพราะรู้สึกว่าคนเราเจอเรื่องมากมายขนาดนี้ ก็ยังคิดเรื่องดี ๆ กับคนอื่นได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้พลังบวกเยอะ ๆ ในใจ ซึ่งคิดว่าตนเองก็ได้อะไรมาจากตรงนี้เช่นกัน

“ถ้าวันนั้นทางพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลจับมือกันสำเร็จ และตั้งรัฐบาลได้ ท่านเองเป็นผู้นำรัฐบาล ส่วนพวกเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ยังไง ดร.ทักษิณก็กลับมาอยู่ดี ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะเป็นรัฐบาลที่จัดตั้งโดยใคร อันนี้คือเรื่องจริงที่คุณพ่อตั้งใจแล้วว่าจะกลับให้ได้“ นางสาวแพทองธาร กล่าว

ส่วนเรื่องของกระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษ เป็นสิทธิของผู้ต้องขังความ ซึ่งมีขั้นตอนกระบวนการต่าง ๆ ที่ตนเองขอไม่ก้าวล่วง แต่ก็เป็นสิทธิของผู้ที่มีคดีความทุก ๆ คน ถ้าจะพูดเรื่องว่าท่านป่วย ป่วยจริง หรือป่วยหลอก เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าคุณพ่อมีอาการป่วย การรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจก็เป็นสิ่งที่ชัดเจน

“ถ้าดิฉันจะบอกว่าคุณพ่อที่อายุ 70 กว่าป่วย ต้องได้รับการผ่าตัดในช่วงที่เป็นโควิดหนักมาก น้ำหนักลดไป 10 กว่ากิโลกรัม ทำให้เกิดอาการผมร่วง มีสการ์ที่ปอดจะเชื่อหรือไม่ ท่านจะบอกคนที่อายุ 70 อัพ ต้องผ่าตัด และการผ่าตัดมันไม่ได้ง่ายเหมือนคนอายุ 20 กว่า 30 กว่า ท่านเชื่อหรือไม่ เพราะฉะนั้น ดิฉันก็ไม่ทราบว่าจะต้องอธิบายแบบไหน แต่ขณะนี้ เราก็มีการยื่นเรื่องต่อแพทย์สภา เชื่อว่าผลสรุปออกมาได้ อีกไม่นานนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะยอมรับ เพราะถามจากดิฉัน และดิฉันตอบไป ท่านก็ไม่เชื่ออยู่ดี ซึ่งก็ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไร” นางสาวแพทองธาร กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เมื่อมีกระบวนการตรวจสอบนายทักษิณในหน่วยงานต่าง ๆ ในฐานะลูกเองตนเองห่วงใยแน่นอน เพราะเป็นลูกสาวรักคุณพ่อ ถ้าต่างประเทศเรียกว่า daddy’s girl ตนเองเป็นอย่างนั้นเลย 100% แล้วในฐานะของนายกรัฐมนตรี ตนเองไม่เคยใช้อำนาจไปแทรกแซงในหน่วยงานไหน ๆ เลย อย่าดูถูกข้าราชการไทย อย่าดูถูกระบบข้าราชการของไทย บางทียุคสมัยนี้แล้ว ทุกอย่างมันตรวจสอบได้ เพราะฉะนั้น ตนเองไม่เคยแทรกแซงกระบวนการเหล่านี้เลย และการอภิปรายถ้าสมาชิกมีการเรียกร้องให้ตนเองลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นสิทธิ์ของทุกท่านที่ในสภาแห่งนี้จะทำได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำไม่ได้ คือขอให้ตนเองลาออกออกจากความเป็นลูกสาว หรือความเป็นแม่ สิ่งนี้ตนเองลาออกไม่ได้

“ดิฉันก็พร้อมที่จะทำงานให้กับคนทุกกลุ่ม ทุกคน ทุกจังหวัด ทุกที่ เพราะดิฉันสวมหมวกของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ดิฉันทำหน้าที่นี้อย่างเต็มที่ และสุดความสามารถแน่นอน ในขณะเดียวกันในฐานะของลูกสาว ดิฉันคือลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร ดิฉันพูดคำนี้ด้วยความภาคภูมิใจตั้งแต่ดิฉันสามารถพูดได้ และแน่นอนว่าขอให้ทุกท่านดู และพิสูจน์ที่ความสามารถของดิฉัน และความตั้งใจของดิฉันในการทำงานอย่างเต็มที่ ในฐานะของนายกรัฐมนตรี หากจะมีการอภิปราย หรือวิจารณ์ใด ๆ ขอให้วิจารณ์เรื่องการทำงาน ก็น่าจะเป็นประโยชน์กว่าทั้งต่อสภาแห่งนี้ และต่อประเทศของเรา” นางสาวแพทองธาร กล่าวทิ้งท้าย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

วาทะและคำท้า : เมื่อ ’แพทองธาร’ บีบ ‘พรรคประชาชน‘ เปิดตัวเลือกพันธมิตรการเมือง!

ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคมที่ผ่านมา ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการ โดยมีระยะเวลาอภิปรายถึง 37 ชั่วโมง และผลการโหวตในเช้าวันที่ 26 มีนาคมไม่ได้พลิกโผแต่อย่างใด

สส.พรรคส้ม เปิดแชท! ถูกเสนอ 20 ล้าน แลกเป็นงูเห่าก่อนโหวตไม่ไว้วางใจ

สส.ระยอง พรรคประชาชน เปิดหลักฐาน อ้างถูกติดต่อเสนอเงินหลายระดับ สูงสุด 20 ล้าน แลกเป็นสส.งูเห่า โหวตหนุน ‘แพาองธาร’ และหากย้ายพรรคเพิ่มอีก 5 ล้าน พร้อมตำแหน่งและเงินเดือน 250,000 บาท!

'สุริยะใส' วิเคราะห์ 'เพื่อไทย-ปชน.' พันธมิตรทางอุดมการณ์ ขาดสะบั้นแล้วจริงหรือ?

ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กเผยแพร่บทวิเคราะห์ “เพื่อไทย vs พรรคประชาชน: พันธมิตรทางอุดมการณ์

‘ก่อกี้’ เฮลั่น! นายกฯอิ๊งค์ ฝ่าศึกซักฟอก เดินหน้าทำงานต่อ

สส.ก่อแก้ว มือประท้วงของพรรคเพื่อไทย โพสต์แสดงความยินดีทันที หลังแพทองธาร ผ่านศึกซักฟอก ได้รับเสียงไว้วางใจ 319 เสียง สะท้อนเสถียรภาพรัฐบาลยังแข็งแกร่ง