'เท้ง' เปิดฉากซักฟอก 'อิ๊งค์' ซัดทำไทยมีนายกฯ 2 ระบบ ตกต่ำยิ่งกว่ารัฐบาล คสช.

เปิดฉากอภิปรายไม่ไว้วางใจ ‘วันนอร์’ แจงกติกา เตือนระวังอภิปรายพาดพิงคนนอก ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ จั่วหัวร่ายยาว ซัด ‘แพทองธาร’ ปล่อยคนในครอบครัวชักใย ชี้ไทยมีนายกฯนอกระบบ-ในระบบ ดีลแลกประโยชน์เจ้าสัว

24 มี.ค. 2568 – เมื่อเวลา 08.20 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน และ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน กับคณะจำนวน 165 คน เป็นผู้เสนอ

ทั้งนี้ก่อนเสนอญัตติ ปรากฏว่ามีความวุ่นวายเล็กน้อย โดยน.ส.วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ลุกหารือเรียกร้องสิทธิแรงงานให้ลูกจ้างรัฐสภา ว่า ทุกคนที่ดูแลเราเป็นลูกจ้าง พนักงาน ในรัฐสภาแห่งนี้ ตนได้รับเสียงสะท้อนมาตลอด ว่าพนักงานอัตราจ้าง สวัสดิการก็ไม่ค่อยมี โอทีก็ได้เพียงแค่เวลา 20.30 น. หลังจากนั้นทำงานฟรี เพราะฉะนั้น อยากให้ประธานช่วยดูแล และไม่อยากให้เอาเปรียบลูกจ้างเขา เอาเปรียบคนตัวเล็กตัวน้อยกลุ่มนี้

จากนั้น นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกกล่าวบ้างว่า วันนี้เป็นการอภิปรายไม่วางใจ เป็นความงามของระบอบประชาธิปไตย ตนอยากให้ทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเองตามที่รับมอบหมาย ขอให้เป็นโรงเรียนการเมืองโรงเรียนประชาธิปไตย ที่ประชาชนเข้าติดตามและได้ประโยชน์ พร้อมอ่านกลอนว่า “อภิปรายกันวันนี้ ขอให้โชคดีมีสีสัน สร้างบรรยากาศยกเหตุผลมายืนยัน ….”

แต่ยังอ่านกลอนไม่ทันจบ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ ประธานวิปฝ่ายค้าน ประท้วงทันที ระบุว่า ขอให้ประธานควบคุมการประชุม เราเสียเวลามามากแล้ว เอาเรื่องมีสาระดีกว่า

จากนั้น นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกหารือบ้างว่า ญัตติคือขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ไม่มีคำว่าและคณะ ถ้าเกิดปล่อยให้อภิปรายไม่ไว้วางใจ สามารถให้รัฐมนตรีคนอื่นอธิบายได้หรือไม่ เพราะนายกฯ เอง ได้แต่ดูแลทั่วไป ท่านไม่ได้ดูแลรายละเอียดทั้ง 20 กระทรวง จึงเป็นปัญหา อยากให้ท่านประธานชี้แจง เดี๋ยวพอรัฐมนตรีขึ้นมา ก็จะประท้วงกันอีก

ทั้งนี้นายวันมูหะมัดนอร์ ชี้แจงต่อที่ประชุมถึงข้อบังคับการประชุมต่อการอภิปรายในญัตติดังกล่าว ซึ่งได้ย้ำถึงการอภิปรายของฝ่ายค้านและการตอบชี้แจงที่นายกฯ และรัฐมนตรีมีสิทธิตอบชี้แจง รวมถึงต้องอภิปรายในกรอบข้อบังคับ หากมีการผิดข้อบังคับ สมาชิกที่อภิปรายต้องรับผลของการกระทำ และตามกรอบของจริยธรรมซึ่งการกล่าวถ้อยคำที่ผิดกฎหมายต่อบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ นายกฯ รัฐมนตรี หรือ สส. คนที่อภิปรายจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้การอภิปรายที่เสนอว่ามีชื่อของนายกฯ คนเดียวนั้น แต่การอภิปรายหากพาดพิงไปถึงรัฐมนตรีที่นายกฯ​มอบหมายงานให้สามารถชี้แจงได้ หากพาดพิงรัฐมนตรีที่เสียหายชี้แจงได้ ทั้งนี้ต้องยึดญัตติดังกล่าวที่เสนอมา

จากนั้นเวลา 08.37 น. นายณัฐพงษ์ เปิดญัตติว่า พวกตนเห็นว่า น.ส.แพทองธาร เป็นผู้มีพฤติกรรมไม่อาจไม่วางใจให้บริหาราชการแผ่นดิน ใรฐานะนายกฯได้อีกต่อไป เนื่องจากไใม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหาร ไม่มีคุณสมบัติ ขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ความสามารถ ถ้าเจตจำนงในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติและประชาชนได้ ส่งผลให้เกิดการทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศ จงใจอยู่เหนือปัญหาไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่เพียงเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเองครอบครัว และพวกพ้องเป็นตัวตั้งอยู่เนื้อผลประโยชน์ส่วนรวม

ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ยังไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์เอารัดเอาเปรียบประชาชนเอาเปรียบสังคม โกหกหลอกลวง ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชนเป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบบประชาธิปไตยบริหารบ้านเมืองผิดพลาดล้มเหลวอย่างร้ายแรงทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม คุณภาพชีวิตสิ่งแวดล้อม ทำลายนิติรัฐทำลายระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ตลอดจนปล่อยปะเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันภายใต้การบริหารงานของตนเอง ทั้งยังทุจริตเชิงนโยบายบริหารบ้านเมือง ที่เอื้อแก่ผลประโยชน์ของพวกพ้องและกลุ่มทุนแต่งตั้งบุคคลที่ขาดความรู้ความสามารถความเหมาะสม ไม่ซื่อสัตย์สุจริตไปเป็นรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญอื่นๆ

“นอกจากนี้ยังสมัครใจยินยอมให้บุคคลในครอบครัวชี้นำชักใยให้กระทำการ หรืองดเว้นการกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเสมือนเป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบุคคลในครอบครัวเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจใดๆ จากพฤติการณ์ดังกล่าว หากปล่อยให้บุคคลดังกล่าวยังคงบริหารราชการแผ่นดินต่อไป ย่อมนำซึ่งความเสียหายของประเทศชาติและประชาชน จนยากที่จะเยียวยาได้” นายณัฐพงษ์ ระบุ

ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 66 ประชาชน 40,000,000 คน เดินเข้าคูหาเลือกตั้งด้วยความหวัง ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาว่า รัฐสภาแห่งนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับพวกเขา เพื่อหยุดทศวรรษแห่งความสูญเปล่า เพื่อยืนยันสิทธิความเป็นคนไทยของพวกเราทุกคนยืนยันสิทธิว่าพอกันได้แล้วกลับ 9 ปีที่สูญเสียไปที่พวกเราถูกลิดรอนสิทธิพลเมืองถูกขโมยโอกาส ถูกกดขี่คุณภาพชีวิตไม่ให้ลืมตาอ้าปาก แต่ถ้าใครนอนหลับไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 66 แล้วตื่นขึ้นมาในวันนี้ หลายๆ คนที่นอนหลับไปคงจะแปลกใจว่า ทำไมทุกอย่างช่างเหมือนเดิมเสียเหลือเกิน ทำไมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในวันนั้นถึงได้แนบแน่นแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกันกลมกลืนไม่ต่างอะไรจากรัฐบาลที่มาจากคณะปฏิวัติรัฐประหาร การบริหารราชการแผ่นดินถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของกลุ่มพวกของตนเอง การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินสะเปะสะปะปล่อยปะละเลยชีวิตประชาชน ปล่อยให้คนไทยต้องเผชิญปัญหาต่างๆ ด้วยสองมือ สองแขน และสองขาของตนเอง เริ่มตั้งแต่ไฟป่าไปจนถึงปัญหาฝุ่นพีเอ็ม2.5 ปัญหาทุนเทา ปัญหาชายแดน แก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ หาการศึกษา การขัดขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาปากท้อง ค่าไฟแพง ปัญหาการเกษตร ปลาหมอคางดำ และการทุจริตคอร์รัปชัน

ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า วันนี้พวกเรายังต้องเจอปัญหาแบบเดิมๆ อยู่เลย ทำไมคนไทยจึงไม่มีโอกาสที่จะได้รัฐบาลที่มีเจตจำนงที่แน่วแน่ที่จะมาแก้ไขปัญหา ทำไมคนไทยถึงยังไม่มีโอกาสที่จะมีผู้นำที่มีคุณสมบัติเพียงพอ ในการหาทางออกให้กับประเทศทั้งทั้งที่การเลือกตั้งในปี66 ที่ผ่านมา ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศลงมติกันแล้วว่าอยากได้การเปลี่ยนแปลงคำตอบที่อธิบายทุกอย่างได้ชัด เพราะรัฐบาลชุดนี้เริ่มต้น ดำรงอยู่ และเดินหน้าต่อเพื่อให้เกิด “ดีลแลกประเทศ” ซึ่งผลประโยชน์ของคนตระกูลชินวัตรและครอบครัวยึดเป็นแกนกลาง และมีผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ชิด เครือข่ายการเมืองเป็นแกนรอง เป็นประเทศและประชาชนต้องรอออกไปก่อน เดี๋ยวใกล้วันเลือกตั้งพวกเราค่อยมาปรับบทละครกันอีกทีใช่หรือไม่ นายกฯ คิดว่าแบบนี้เขารู้ไม่ทันหรือ

“พฤติกรรมที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ ต่อมาถึง น.ส.แพทองธาร หลายหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลเพื่อไทยยอมเป็นนั่งร้านให้กับกลุ่มอำนาจเดิมเพื่อใคร เพื่อคนตระกูลชินวัตรใช่หรือไม่เพื่อให้บุคคลในครอบครัวได้กลุ่มอำนาจรัฐบาลให้บริวารได้เป็นรัฐมนตรี ถึงเวลานี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่พวกเขาสงสัยไม่เป็นความจริง รัฐบาลเพื่อไทย ไม่ได้เป็นนั่งร้านให้กับใครเพราะอันที่จริงแล้วพวกเขาได้หลอมรวมกันกลายเป็นพวกเดียวกันทั้งหมดไปแล้ว ทำงานร่วมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หัวเราะร่วมวงไปด้วยกันได้ ไม่เกี่ยวกับเจนเนอเรชัน หรือภูมิหลังใดๆเพราะพวกเขาใช้วิธีจัดการผลประโยชน์ที่เหมือนกัน ต่อรองกันผ่านสนามกอล์ฟเหมือนๆกัน ใช้อำนาจเปลี่ยนดำเป็นขาวเช่นเดียวกัน รู้ช่องทางในการทำมาหากินผ่านระบบราชการเหมือนๆ กัน นายกฯ คณะรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาล พูดภาษาเดียวกัน และเล่นเกมเดียวกันมาตั้งแต่แรก”นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า ประชาชนสังเกตได้ไม่ยากคือเรื่องไหนสามารถเดินหน้ารวดเร็วผิดปกติ ไม่สนคำทักท้วง รีบทำรีบผลักดัน ก็คือเรื่องที่ดิลผลประโยชน์กันลงตัวเช่นเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์ที่กลายมาเป็นวาระเร่งด่วนให้ความสำคัญเหนือการแก้ไขปัญหาชาวนา หรือการพัฒนาการศึกษาเพื่อเยาวชน และจากวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา สื่อมวลชนตั้งคำถามนายกฯว่า ท่านรู้สึกอย่างไรกับคำว่าดีลแลกประเทศ ท่านถามสื่อมวลชนกลับไปว่าตระกูลชินวัตรได้อะไร สื่อบอกว่าก็ได้นายทักษิณกลับบ้าน ท่านนายกฯ บอกว่า อ๋อได้คุณพ่อกลับมา คงเป็นเรื่องนี้เรื่องเดียวตลอดไป ซึ่งชัดเจนดี อย่างน้อยๆ นายกฯ ก็รับตรงๆ โดยนัย โดยการไม่ปฏิเสธว่าการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้เพื่อพ่อคุณพ่อกลับบ้านจริงๆ เพราะถ้าหากไม่เกี่ยว สัญชาตญาณแรกของคนตอบคำถามก็จะปฏิเสธทันที แต่นี่ไม่ปฏิเสธใดๆ

สำหรับดีลแลกประเทศไม่ได้หมายถึงแค่พานายทักษิณกลับบ้าน แต่ยังหมายรวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่ประชาชนคนไทยต้องแลกด้วยลผลประโยชน์ของประเทศมากหมายมหาศาลที่เกิดขึ้นภายใต้ดีลนี้ ซึ่งภายใต้รัฐบาลชุดนี้ดูเผินๆ เหมือนประเทศอาจจะได้อะไรดีขึ้นกว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา แต่พอเวลาผ่านไป 2 ปี เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสิ่งที่เหมือนจะได้กลับเสียมากกว่าเดิม การเริ่มต้นและตั้งอยู่ของรัฐบาลแพทองธาร ทำให้ประเทศต้องจ่ายต้นทุนราคาแพง ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เริ่มจากเรื่องการเมือง รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทำให้ประชาธิปไตยประเทศถดถอยลง ซึ่งคะแนนวัดอันดับทางการเมืองตกต่ำลงจากปี 66 จัดในกลุ่มประชาธิปไตยบกพร่อง แก้รัฐธรรมนูญไม่คืบหน้า และถูกนานาชาติประณามเพราะส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลเพื่อไทย ไม่ว่าท่านจะรู้ตัวหรือไม่ นายกฯท่านกำลังทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศเสื่อมถอยลงภายใต้เปลือกของคำว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ส่วนด้านเศรษฐกิจ ดูเผินๆ เหมือนเรากำลังจะได้รัฐบาลที่เก่งเศรษฐกิจ หลายๆ คนที่เคยเป็นกองเชียร์ยอมปิดตาข้างหนึ่งเพื่อให้รัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาแก้ปัญหาปากท้อง แต่ไม่เหมือนที่คุยกันไว้ พายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่เคยเกิดขึ้น เพราะไม่ได้ทำการบ้านอะไรไมา่ล่วงหน้า จากที่คุยว่าจะได้ 5% เหลือ 2.5% ไม่เหมือนคำโฆษณา แต่ทิ้งไว้ที่ราคาที่สังคมไทยต้องจ่ายอย่างมากหมายมหาศาล

“ปัญหาพรรคเพื่อไทยคือการไม่ยอมรับว่าไทยรักไทยได้รับประโยชน์จากปัจจัยภายนอกไม่ได้เก่งด้วยตนเอง เช่น หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่หมอชนบทขับเคลื่อนมาก่อนหน้านั้น การกระจายเม็ดเงินลงท้องถิ่นได้ประโยชน์จากโครงการมิยาซาว่า เมื่อเป็นรัฐบาลเพื่อไทยนโยบายดีๆ ที่กองบนโต๊ะไม่มี ทำให้คิดไปทำไป การบริหารประเทศที่ได้นายทักษิณกลับมาอีกครั้งเหมือนได้ผู้นำแพ็กคู่ คนหนึ่งมีประสบการณ์ อีกคนอยู่ในตำแหน่งเป็นคนรุ่นใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นมีผู้นำนอกระบบ ทำงานนอกทำเนียบฯ เป็นคนชี้นำวาระ ให้ข้อมูลและนโยบายนำหน้ารัฐบาล โดยปราศจากความรับผิดชอบใดๆ เพราะไม่ถูกท่วงดุลตรวจสอบ วันหนึ่งเคยบอกจะให้ค่าไฟ 3.70 บาท แต่ก็ไม่เคยเกิดขึ้น ผ่านอีกแค่ 2 เดือน อยู่ๆ ก็บอกว่าจะลดคาไฟให้เหลือ 2.50 บาท ราคาค่าไฟลดเร็วพอๆกับความน่าเชื่อถือ กลายเป็นคนนอกระบบพูดไปเรื่อย ส่วนคนในระบบแทนที่จะเป็นพลังคนรุ่นใหม่ กลับขาดความรู้ความสามารถ ขาดวุฒิภาวะ และเจตจำนงทางการเมือง และ6เดือนที่ผ่านมา เราเคยเห็นการผลักดันอะไรที่นายกฯ ตัวจริง ผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาได้บ้าง มีแต่การลอยตัวหนีปัญหา ไม่สนไม่แคร์ แต่ความเดิอดร้อนของประชาชน เมื่อรวมนายทักษิณกับ น.ส.แพทองธารแล้ว ประเทศไทยเสีย 2 ต่อ เพราะมีคนที่ลอยตัว ส่วนคนที่ถืออำนาจรัฐที่ขาดคุณสมบัติ” นายณัฐพงษ์ ระบุ

ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร จะทำตัวแบบเดียวกับนายกฯ ที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร มองการเมืองเป็นเค่เรื่องหน้ารำคาญ ภาระในสภาเปรียบเสมือนก้อนกรวดในรองเท้า มอง สส. ในสภาฯ เป็นเพียงแค่จำนวนนับให้จัดตั้้งรัฐบาลแบบนี้ไม่ได้ และตราบใดที่ น.ส.แพทองธารยังดำรงตำแหน่งอยู่ ต้องเจอกับอะไรบ้าง ชาวสวนมีปัญหาเรื่องน้ำต้องใช้ไฟฟ้าสูบน้ำเพื่อใช้ แต่กลับพบภาพอดีตนายกฯ ออกรอบตีกอล์ฟกับนายทุนพลังงาน เพื่อดีลสัมปทานไฟฟ้ามูลค่าหลายแสนล้านบาท เพื่อสูบเงินในกระเป๋าชาวสวนไปเข้ากระเป๋าเจ้าสัว

ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวด้วยว่า การปฏิรูปกองทัพ ประชาชนหมดหวังกับรัฐบาลชุดนี้แล้ว และในเรื่องของความยุติธรรม ที่คนตากใบยังรอความยุติธรรม แต่นายกฯ จงใจปล่อยปะละเลยไม่เร่งรัดติดตามตัวจำเลยที่หนีไปต่างประเทศมาดำเนินคดี ขณะที่นายกฯ ตัวจริงนอกระบบได้รับสิทธิอยู่ชั้น 14 เหนือระบบยุติธรรม ที่มี น.ส.แพทองธาร ผู้เป็นบุตรสาว รับรู้ รับทราบสถานะของบิดามาโดยตลอด นอกจากนั้นในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีฉันทามติ แต่น.ส.แพทองธาร ตอกฝาโลงเรียบร้อยว่าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทัน ที่คุยกันในรัฐสภาเป็นละครปาหี่ที่พรรคร่วมรัฐบาล ไม่ต้องให้แก้ไข ทำให้ประเทศไทยต้อสูญเสียประโยชน์ ต้องอยู่กับรัฐธรรมนูญของคสช.

“การแจกเงินหมื่นไม่สร้างการเติบโตเศรฐกิจไทย การสร้างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เห็นชัดล่วงหน้าว่าจะมีกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดรัฐบาลที่ได้รับประโยชน์ เป็นการสูญเสียโอกาสของคนไทยที่ได้รัฐบาลคิดไปทำไป ดีลแลกประเทศครั้งนี้มีคนไม่ถึง 1% ได้รับผลประโยชน์ แม้จะทำลายระบบนิติรัฐ นิติธรรม ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ตกต่ำยิ่งกว่ารัฐบาลของ คสช. ซึ่งอนาคตมีสิ่งที่ประเทศไทยต้องจ่ายมหาศาล ทั้งนี้สิ่งที่เราได้รับคือ พวกเราอ่อนแอ ไม่กล้าหวังอนาคตที่ดีกว่า ทั้งนี้การจัดตั้งรัฐบาลของดีลแลกประเทศ ทำให้ได้พรรคร่วมคณะรัฐประหาร หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จึงไม่อาจไว้วางใจได้” นายณัฐพงษ์ ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยตามระเบียบวาระจะเริ่มเปิดประชุม 08.00 น.แต่เมื่อถึงเวลาประชุม ยังไม่สามารถเปิดประชุมได้ เนื่องจากองค์ประชุมยังไม่ครบ มีเพียง 210 คนเท่านั้น จาก สส.ทั้งหมด 493 คน จนกระทั่งเวลา 08.20 น. มีสมาชิกมาประชุม 349 คน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา จึงเปิดประชุม

โดย สส. ส่วนใหญ่ที่เข้ามาร่วมเป็นองค์ประชุมแล้ว ได้แก่ สส.พรรคประชาชน เป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ สส.ฝั่งรัฐบาล เริ่มทยอยเข้ามานั่งในห้องประชุมแล้วแต่ยังบางตา มีบุคคลสำคัญที่เข้ามานั่งเป็นองค์ประชุมคนแรกๆ คือนายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'จิรายุ' ตีปี๊บนายน้อยสุดขยันประชุม ครม.วันนี้ส่วนพรุ่งนี้ลงภูเก็ตอีกแล้ว

นายกฯอิ๊งค์ลุยงานต่อ เช้านี้ประชุม ครม. ก่อนลงพื้นที่ภูเก็ตเช้าพรุ่งนี้ ติดตามนโยบายท่องเที่ยว-กระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมเดินหน้าผลักดันซอฟต์พาวเวอร์

'จุลพงษ์' เตือนสรรพากรอย่าพึ่งรีบตีความตั๋วP/Nลองย้อนดูอดีต รมช.การคลังที่ติดคุกก่อน

เตือนอธิบดีกรมสรรพากร ตีความตั๋วP/N นายกฯ เลี่ยงภาษีหรือไม่ อย่าให้ซ้ำรอยอดีต รมช.การคลัง 'เบญจา หลุยเจริญ' อดีตรองอธิบดีสรรพากรที่ต้องเข้าคุก ชี้เป้า 2 ปมผิดปกติ เป็นการฝากหุ้นเพื่อเลี่ยงภาษี