เสียงระฆังซักฟอกใกล้ดังขึ้น ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงบททดสอบของนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” เท่านั้น แต่ยังเป็นสมรภูมิที่เดิมพันไปถึงคนในครอบครัว-ทักษิณ ชินวัตรอีกด้วย
ฝ่ายค้านไม่เพียงแต่โจมตีนโยบายและการบริหารงานของรัฐบาลภายใต้การนำของ “แพทองธาร” แต่ยังใช้เวทีนี้ ปลุกกระแสต่อต้านอำนาจเบื้องหลังที่มีบทบาทในการชี้นำการตัดสินใจต่างๆ ของนายกรัฐมนตรี
หากการอภิปรายสร้างข้อกังขาเกี่ยวกับความสามารถของ “ผู้นำหญิงคนใหม่” จะเป็นจุดเริ่มต้นของคลื่นความไม่มั่นคงในรัฐบาลเพื่อไทย และส่งผลกระทบต่อสถานะของแพทองธาร
ก่อนที่ศึกอภิปรายจะเริ่มขึ้น คำถามสำคัญกว่าคือ “แพทองธาร” ในฐานะนายกรัฐมนตรี พร้อมรับมือกับการโจมตีจากฝ่ายค้านแค่ไหน และฝ่ายค้านมีอาวุธอะไรในมือ?
ในการประชุม สส.พรรคเพื่อไทยเมื่อ 18 มีนาคมที่ผ่านมา “แพทองธาร” เปิดเผยถึงแนวทางในการรับมือกับศึกนี้ว่า “จะตอบในประเด็นกว้างๆ และให้รัฐมนตรีที่ดูแลในแต่ละกระทรวงเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียด”
การเลือกแนวทางนี้สะท้อนถึงการ “ตั้งรับ” มากกว่าการ “เปิดเกมรุก” แม้ว่าจะเป็นแนวทางที่ปลอดภัย แต่ก็ทำให้เกิดคำถามว่าเป็นการวางกลยุทธ์ที่รอบคอบหรือ “สะท้อนถึงจุดอ่อนของตัวเอง”
หากมองว่าเป็นกลยุทธ์ การให้รัฐมนตรีตอบแทนอาจช่วยลดแรงปะทะกับนายกรัฐมนตรีและกระจายภาระไปที่ผู้ดูแลกระทรวงต่างๆ
แต่หากมองว่าเป็น “จุดอ่อน” ก็จะกลายเป็นหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านว่า “ไม่มีภาวะผู้นำ ไม่มีความรู้ และไม่เหมาะสมในการบริหารประเทศ”
ยิ่งไปกว่านั้น การตอบแบบกว้างๆ ยังสะท้อนถึง “กับดัก” ที่แพทองธารตั้งขึ้นเอง ด้วยการหลีกเลี่ยงการลงลึกในรายละเอียด แทนที่จะใช้โอกาสนี้ในการสร้างความมั่นใจให้กับสาธารณะว่ามีความเข้าใจลึกซึ้งในนโยบายและการบริหารประเทศ
“กับดัก” ที่ แพทองธาร ตกอยู่คือการทำให้ตัวเองกลายเป็นผู้นำที่ขาดความชัดเจน และไม่สามารถให้คำอธิบายที่ครอบคลุมและละเอียดได้ ซึ่งฝ่ายค้านจะใช้จุดนี้โจมตีอย่างหนักหน่วง
ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ฝ่ายค้านยื่นมีความชัดเจนตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะในประเด็นแรกจากทั้งหมด 6 ประเด็น ที่ไม่ได้เพียงตรวจสอบนโยบาย แต่ยังตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งของแพทองธาร
ฝ่ายค้านจึงเปิดเกมด้วยข้อกล่าวหาหนักว่า แพทองธาร “ไม่มีคุณสมบัติและความเหมาะสม” ในการเป็นนายกรัฐมนตรี ขาดภาวะผู้นำและวุฒิภาวะ ขาดความรู้และความสามารถในการบริหารประเทศ
ศึกซักฟอกครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การถาม-ตอบเรื่องนโยบาย แต่เป็นการท้าทายสถานะของผู้นำประเทศโดยตรง
เมื่อ “แพทองธาร” เลือกตอบในลักษณะ “กว้างๆ” การตอบเช่นนี้ไม่เพียงไม่สามารถแก้ข้อกล่าวหาหรือสร้างความเชื่อมั่นได้ แต่ยังเป็น “ช่องโหว่-จุดอ่อน” ที่ฝ่ายค้านสามารถขยายผลได้
โดยเฉพาะการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเมื่อ 12 กันยายน 2567 ที่ “แพทองธาร” ในฐานะนายกรัฐมนตรีนำแถลงนโยบายด้วยตนเอง ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่า ในฐานะผู้นำรัฐบาลต้องมีความรู้และเข้าใจในรายละเอียดของนโยบายแต่ละกระทรวงอย่างลึกซึ้ง
คำตอบแบบ “กว้างๆ” จึงยิ่งสะท้อนถึงการขาดภาวะผู้นำ วุฒิภาวะ และความรู้ความสามารถตามญัตติข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน
และคำพูดของ “สงคราม กิจเลิศไพโรจน์” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่ปรามาส “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้นำพรรคพลังประชารัฐในศึกซักฟอกครั้งนี้ว่า “ให้อภิปรายลึกลงในรายละเอียด ไม่ใช่พูดแค่ไม่รู้ไม่รู้”
กลับกลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาที่ “แพทองธาร” เอง เมื่อคำถามสำคัญคือ หากผู้นำยังเลือกตอบแบบกว้างๆ แล้วทำไมถึงคาดหวังให้ฝ่ายค้านอภิปรายในระดับลึก?
ขณะที่พรรคเพื่อไทยเตรียมทีม “องครักษ์พิทักษ์นาย” เพื่อต่อสู้ในสภา แต่ต้องเน้นว่า องครักษ์เหล่านี้มีหน้าที่เพียงประท้วงตามข้อบังคับ ไม่สามารถชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรีได้
แต่เมื่อองครักษ์ต้องคอยปกป้องรอบด้าน ภาพที่สะท้อนออกมากลับเป็นผู้นำที่พึ่งพาผู้อื่น มากกว่าการยืนหยัดด้วยตัวเอง ยิ่งทำให้ข้อสงสัยเรื่องความพร้อมของ “แพทองธาร” เด่นชัดขึ้นในสายตาประชาชน
นี่คืออีกหนึ่ง “กับดัก” ที่แพทองธารสร้างขึ้นเอง หากมีความพร้อมและมั่นใจในบทบาทของตัวเองจริง เหตุใดจึงต้องมีองครักษ์คอยกันท่า
ฝั่งฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาชนและพรรคพลังประชารัฐ ต้องใช้กลยุทธ์รัดกุม เดินเรื่องตามญัตติข้อกล่าวหาและโจมตีให้ตรงจุดไม่ให้หลุดประเด็น เพื่อไม่ให้ศึกซักฟอกกลายเป็นการอภิปรายที่ไม่เกิดผล
เพราะเดิมพันในศึกซักฟอกนี้ไม่ได้อยู่แค่ที่ตัวเลขของการลงมติ แม้ว่า “แพทองธาร” อาจรอดจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ “คะแนนศรัทธา” จากประชาชน
เมื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจจบลง คำถามสำคัญที่ยังค้างอยู่คือ “แพทองธาร” จะพิสูจน์ตัวเองและหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาขาดภาวะผู้นำได้หรือไม่ หรือจะกลายเป็นผู้นำที่ถูกมองว่า “ไม่รู้สี่รู้แปด” และขาดความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่ง
เดิมพันครั้งนี้ไม่ใช่แค่การปกป้องตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ยังเป็นการพิสูจน์ว่า “แพทองธาร” ไม่ถูกครอบงำจากเบื้องหลัง และมีความสามารถในการตัดสินใจอย่างอิสระจากอำนาจของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ยังคงมีอิทธิพลอยู่
การตอบคำถามอย่างชัดเจนในครั้งนี้จึงเป็นตัวชี้วัดความเชื่อมั่นในผู้นำของประเทศ และอนาคตทางการเมืองของเธอเอง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ธีระชัย' ยัน 'ลุงป้อม' ยังไม่ทิ้งพลังประชารัฐ รับ 'วัน อยู่บำรุง' ไม่แน่อยู่หรือไป
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยถึงกระแสข่าวนายวัน อยู่บำรุง จะไม่ไปต่อกับพรรคว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนนายวันก็ยังมานั่งรับประทานอาหารกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค แต่ต้องเข้าใจว่า พรรคพลัง
ป.ป.ช. อนุญาต 'แพทองธาร' ขอขยายเวลายื่นบัญชีทรัพย์สิน 30 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถึงกรณีการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในรายของอดีต ครม.แพทองธาร ชินวัตร
รัฐบาลขออภัย 'คนละครึ่งพลัส' ไม่ได้ไปต่อ ซัดเพื่อไทยล้มเหลว 'แจกเงินหมื่น' แต่ไม่ยอมรับผิด
รัฐบาลกราบขออภัย "คนละครึ่งพลัส" ไม่ได้ไปต่อ โต้ พท.กล่าวหารัฐบาลเสียงข้างน้อยตีตกเงินหมื่น จวก เป็นความล้มเหลวปฏิบัติหน้าที่รัฐบาลในอดีต
‘แรมโบ้อีสาน’ ลง สส.เขต 10 โคราช พรรคพลังประชารัฐ
เสกสกล อัตถาวงศ์ เผยลงสมัครรับเลือกตั้ง สส. เขต 10 นครราชสีมา ในนามพรรคพลังประชารัฐ ระบุเคยได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในพื้นที่มาก่อน พร้อมเตรียมลงพื้นที่หาเสียงตามเขตเลือกตั้ง
บ้านใหญ่โคราชเพื่อไทย จัดไพรมารีโหวต เคาะผู้สมัคร สส. 16 เขต ชาติพัฒนาได้ 3 พื้นที่
พรรคเพื่อไทย บ้านใหญ่โคราช ได้มีว่าที่ผู้สมัคร สส.นครราชสีมา ทั้ง 16 เขตเลือกตั้ง และผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อและสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา รวมกว่า 200 คน นำโดย น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคเพือไทย
อดีตพรรคส้มโวย ถูกถอดชื่อว่าที่ผู้สมัคร สส. รับไม่ได้ลาออกทันที
อดีตสมาชิกพรรคประชาชน จ.กระบี่ เปิดใจ หลังถูกถอดชื่อออกจากบัญชีว่าที่ผู้สมัคร สส. ทั้งที่ประกาศชื่อผ่านสื่อแล้ว ชี้คำอ้างผิดพลาดฟังไม่ขึ้น ลาออกพรรค พร้อมเตรียมซบพรร

