ป.ป.ช.ตำบลกระสุนตก! 'พรรคส้ม-ณฐพร' จากคู่ปรับสู่พันธมิตรเฉพาะกิจ

การเมืองไทยในวันนี้กำลังเข้าสู่ช่วงที่หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  หลังจากการแต่งตั้งนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข เป็นประธาน ป.ป.ช. อย่างเป็นทางการในช่วงที่เต็มไปด้วยข้อครหาจากหลายฝ่าย

การเคลื่อนไหวในวงการการเมืองได้กลายเป็นตัวเร่งให้ ป.ป.ช. ต้องเผชิญหน้ากับข้อกังขาหลายประเด็น

โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงหลุดที่เกี่ยวพันกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักจนกลายเป็นประเด็นสาธารณะที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในองค์กรอิสระนี้

การที่นายสุชาติ ซึ่งเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธาน ป.ป.ช. ต้องมานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ในช่วงเวลาแห่งความท้าทายยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของ ป.ป.ช. ตกอยู่ในความเสี่ยง

นอกจากนี้ การที่นายสุชาติ ต้องนั่งหัวโต๊ะ วินิจฉัยชี้มูลความผิดหรือไม่กรณีของอดีต 44 สส. พรรคก้าวไกล ที่ถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงจากการร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งจะเป็นประเด็นที่มีผลกระทบทางการเมืองอย่างสูง

นายรังสิมันต์ โรม หนึ่งในอดีต 44 สส. พรรคก้าวไกลที่ถูกกล่าวหาฝ่าฝืนจริยธรรม ได้ตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของนายสุชาติ ในการทำหน้าที่นี้ โดยกล่าวว่า “ท่านยังไม่สามารถเคลียร์ข้อกล่าวหาของตัวเองได้ แล้วจะมีความชอบธรรมอะไรในการมาทำหน้าที่นี้”

นายรังสิมันต์ ยังฝากให้สื่อมวลชนช่วยติดตามการทำงานของ ป.ป.ช. ในประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด เพราะหากองค์กรนี้ไม่สามารถเคลียร์ข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวของประธาน ป.ป.ช. ได้ ก็จะยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นในองค์กรต่ำลงไปอีก

ในขณะที่ฝ่ายการเมืองอีกฝ่ายหนึ่ง นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามพรรคก้าวไกลมาโดยตลอด ในกรณีที่พรรคเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวพุ่งเป้าไปที่นายสุชาติ เช่นกัน

นายณฐพร เรียกร้องให้นายสุชาติลาออกจากตำแหน่งประธาน ป.ป.ช. โดยชี้ให้เห็นว่า การเลือกนายสุชาติ ขึ้นมาท่ามกลางข้อกล่าวหาทุจริตและพฤติกรรมที่อาจขัดกับจริยธรรม ทำให้คำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของ ป.ป.ช. ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก

การที่นายณฐพร  ซึ่งนับเป็นคู่ปรับพรรคก้าวไกลและเครือข่ายในประเด็นมาตรา 112 กลับเลือกที่จะร่วมเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับพรรคประชาชน ในการตั้งคำถามถึงการเลือกนายสุชาติ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้อย่างชัดเจน

เมื่อฝ่ายตรงข้ามและพรรคการเมืองที่เคยเป็นคู่ปรับกันในประเด็นต่างๆ กลับกลายมาเป็นพันธมิตรเฉพาะกิจในการกดดันให้นายสุชาติ และองค์กรอิสระนี้ตอบคำถามกับสังคมอย่างชัดเจน

ความเคลื่อนไหวทั้งจากฝั่งพรรคประชาชน และฝั่งนายณฐพร ทำให้การเมืองไทยในช่วงนี้กลายเป็นสนามรบทางการเมืองที่ซับซ้อนขึ้น ด้วยการที่ฝ่ายต่างๆ ต่างจับตามองความโปร่งใสของการทำงานของ ป.ป.ช. และโดยเฉพาะในกรณีที่นายสุชาติ ต้องทำหน้าที่ในการตัดสินในกรณีที่มีผลกระทบสูงเช่นนี้

ความกดดันที่เพิ่มขึ้นสำหรับนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ในฐานะประธาน ป.ป.ช. ทำให้ ป.ป.ช. กลายเป็นตำบลกระสุนตกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เพราะนายสุชาติ จะต้องเผชิญกับการตั้งคำถามจากทั้งฝ่ายค้านและผู้มีบทบาทในวงการการเมืองไทย รวมถึงต้องตัดสินใจในเรื่องที่มีผลกระทบทางการเมืองอย่างสูง โดยเฉพาะในกรณีของอดีต 44 สส.พรรคก้าวไกลที่กำลังถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด

ซึ่งการตัดสินของนายสุชาติ จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของ ป.ป.ช. และความเชื่อมั่นของประชาชนในองค์กรอิสระแห่งนี้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามการที่นายณฐพร ออกมาพูดถึงกรณีการแต่งตั้งนายสุชาติ เป็นประธาน ป.ป.ช. ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเห็นด้วยกับการกระทำของอดีต  44 สส.พรรคก้าวไกลที่ลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่อย่างใด

นายณฐพร ยังคงยึดมั่นในจุดยืนที่เคยเคลื่อนไหวในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 และเคยยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคก้าวไกลกรณีการเสนอแก้ไขมาตรา 112 มาก่อน ซึ่งการเคลื่อนไหวในครั้งนี้จึงไม่ใช่การสนับสนุนหรือเห็นด้วยกับความคิดของอดีต 44 สส. พรรคก้าวไกลในการแก้ไขมาตราดังกล่าว

แต่เป็นการตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการแต่งตั้งนายสุชาติ ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน ป.ป.ช. ซึ่งในมุมมองของนายณฐพร การกระทำของนายสุชาติและการเลือกเขาขึ้นมาท่ามกลางข้อกล่าวหาต่างๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือขององค์กร ป.ป.ช. และมีความจำเป็นที่ต้องมีการตรวจสอบให้ชัดเจน เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรอิสระนี้จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างโปร่งใสและเป็นกลาง

ดังนั้นการเคลื่อนไหวของนายณฐพรในประเด็นนี้จึงเป็นการแสดงจุดยืนในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตและความโปร่งใสของการทำงานขององค์กรอิสระ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ของอดีต 44 สส.พรรคก้าวไกล.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘รังสิมันต์’ โหมโรง ‘ดีลแลกประเทศ ตระกูลชินวัตรได้อะไร’ ชวนร่วมหาคำตอบในศึกซักฟอก

รังสิมันต์ โรม ระบุว่า ดีลแลกประเทศ ตระกูลชินวัตรได้อะไร?? ไม่ใช่เราที่ต้องตอบ ดีลนี้ใครบ้างได้รับประโยชน์! มาร่วมหาคำตอบในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 24-25 มีนาคม 2568

แก้ม.112หลอน44สส. ข้องใจเร่งตอนซักฟอก

แก้ ม.112 ตามหลอน "รังสิมันต์” โวยใช้นิติสงคราม ป.ป.ช.จงใจหรือไม่ จัดกลุ่ม 44 สส.ตัวตึงพรรคสีส้ม จ่อถูกสอยช่วงใกล้ซักฟอก ลั่นเกลียดพวกเราได้

กมธ.ความมั่นคง จัดเวทีถกสถานการณ์เมียนมา 'โรม' ชี้ผลกระทบไทยหลายด้าน

กมธ.ความมั่นคงเป็นเจ้าภาพจัดวงคุยสถานการณ์เมียนมา “โรม” ชี้สถานการณ์เมียนมากระทบไทยหลายด้าน หวั่นเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลทหารไม่สะท้อนเจตจำนงประชาชน แนะไทยมีบทบาทริเริ่มชวนนานาชาติตั้งโต๊ะพูดคุยคลายวิกฤติเมียนมา หลายฝ่ายกังวลรัสเซียเตรียมช่วยเมียนมาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

ลือ 'เหลิม' ร่วมซักฟอก! รังสิมันต์ ลั่นโรยเกลือ 'แพทองธาร'

'รังสิมันต์' ย้ำศึกซักฟอก หลักฐานแน่ พร้อมเปิด 'ยุทธการโรยเกลือ' เอาผิดนายกฯแพทองธารหลังจบอภิปราย เย้ยฝ่ายรัฐบาลส่งสัญญาณเครียดจัดผ่านดินเนอร์ของพรรคร่วมรัฐบาล ขณะที่กระแสข่าว 'เหลิม' เข้าร่วมอภิปรายด้วยยังไม่คอนเฟิร์ม

'เลขาฯป.ป.ช.' คาดคดี '44 อดีตสส.ก้าวไกล' จบกลางปีนี้ เผยมารับข้อกล่าวหาไม่กี่คน

'เลขาฯป.ป.ช.' เผย คดี 44 อดีตสส.ก้าวไกล แก้ 112 มารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตัวเองไม่กี่คน ส่วนใหญ่ส่งไปทางไปรษณีย์ ยันพิจารณาพฤติการณ์รายบุคคล คาดจบกลางปีนี้

'ไม่รู้สี่รู้แปด' สาหัส! ฝ่ายค้านกระพือ 'หลักฐานเด็ด' สะเทือนยิ่งกว่า 'ตั๋วช้าง'

การอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 24 มีนาคมนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในสังคมไทย เพราะไม่เพียงแต่ฝ่ายค้านจะมุ่งตรวจสอบ “แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี