'คำนูณ' เตือนอย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย! ชี้ไทยไม่รับอำนาจศาลโลกมา 64 ปีแล้ว

28 พ.ย.2567 - นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ศาลโลก ICJ ไม่เกี่ยว! ไทยไม่รับอำนาจมา 64 ปีแล้ว รัฐบาลอย่าพลิกกลับมติอีก!” ระบุว่า หลังนายกรัฐมนตรีหล่นคำพูดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมาว่ายกเลิก MOU 2544 ไม่ได้เพราะ “จะถูกฟ้องร้อง” ก็เลยมีคำถามตามว่าในที่สุดแล้วกรณีความขัดแย้งเรื่องเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาจะไปจบที่ศาลโลกให้เราช้ำใจอีกครั้งซ้ำรอยกรณีปราสาทพระวิหารเมื่อกว่า 60 ปีก่อนหรือไม่ ?

คำตอบ ณ วันนี้คือไม่ !

เพราะประเทศไทยไม่รับอำนาจศาล ICJ มา 64 ปีแล้ว

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ : Information Court of Justice) หรือที่เรียกกันอย่างติดปากว่า “ศาลโลก” ก่อตั้งขึ้นในปี 2488 (ค.ศ. 1945) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นองค์กรในสังกัดองค์การสหประชาชาติ (UN) ไม่เหมือนศาลภายในแต่ละประเทศที่บังคับใช้กับประชาชนในประเทศนั้น ๆ ทุกคนโดยอัตโนมัติ เพราะรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ แม้จะเป็นสมาชิกสมาชิกองค์การสหประชาชาติ ก็หาอยู่ภายใต้บังคับโดยอัตโนมัติไม่ ต้องพิจารณาแสดงเจตนายอมรับอำนาจศาลอย่างเป็นทางการเสียก่อน ถ้าไม่รับไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ก็ไม่มีข้อผูกพันใด ๆ

การรับอำนาจศาล ICJ นั้นก็กำหนดให้ประเทศต่าง ๆ แสดงเจตนารับคราวละ 10 ปี

ประเทศไทยไม่เคยรับอำนาจศาล ICJ อย่างเป็นทางการ

เคยแต่รับอำนาจศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศ (PCIJ) หรืออาจจะเรียกว่า “ศาลโลกเก่า” เป็นองค์กรในสังกัดองค์การสันนิบาตชาติที่ตั้งขึ้นในปี 2463 (ค.ศ. 1920) หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมแล้ว 3 ครั้ง

- ครั้งที่ 1 ปี 2472 (ค.ศ. 1929)
- ครั้งที่ 2 ปี 2483 (ค.ศ. 1940)
- ครั้งที่ 3 ปี 2493 (ค.ศ. 1950)

แต่มีปัญหาไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ตรงการต่ออายุการรับรองอำนาจศาลครั้งที่ 3 เพราะขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 จบไปแล้วหลายปี ไม่มีสันนิบาตชาติแล้ว ไม่มีศาล PCIJ อยู่แล้ว มีแต่องค์การสหประชาขาติและศาล ICJ การส่งหนังสือประกาศยืนยันจากรัฐบาลไทยถึงเลขาธิการสหประชาชาติต่ออายุการรับอำนาจศาล PCIJ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2493 จึงถูกวินิจฉัยในเวลาต่อมาว่าคือการยอมรับอำนาจศาล ICJ นั่นเอง

กัมพูชาฟ้องไทยในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2502 (ค.ศ. 1959) เหลืออีก 7 เดือนจึงจะครบอายุ 10 ปี เพราะแม้ประเทศไทยจะต่อสู้คดีเบื้องต้นโดยการตัดฟ้องว่าเรายอมรับอำนาจศาล ICJ ศาล ICJ จึงไม่มีอำนาจพิจารณา แต่ก็ไม่เป็นผล

ศาล ICJ พิพากษาข้อโต้แย้งเบื้องต้นในปี 2504 ว่าประเทศไทยยอมรับอำนาจศาล ICJ แล้ว ประเทศไทยจึงเดินหน้าต่อสู้คดีต่อไป และแพ้คดีปราสาทพระวิหารในปี 2505 (ค.ศ. 1962) อย่างที่ทราบกันดี

ไทยต้องขึ้นสู้คดีในศาล ICJ อีกครั้งในปี 2556 แต่เป็นคดีเก่า เป็นคดีที่รัฐคู่ความยื่นขอตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505

จากข้อเท็จจริงที่ประเทศไทยต้องขึ้นต่อสู้คดีในศาล ICJ ทั้ง 2 ครั้งในปี 2505 และ 2556 โดยกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนทั้งสิ้นนั้น จึงไม่แปลกที่จะมีคนไทยจำนวนหนึ่งเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้ง !

แต่ครานี้สถานการณ์ต่างออกไป ประเทศไทยไม่ได้รับอำนาจศาล ICJ มาตั้งแต่ปี 2503 คดีปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาเริ่มฟ้องในปี 2502 เป็นคดีแรกและคดีสุดท้ายที่เราอยู่ภายใต้อำนาจศาล เป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มีถึง 2 ภาคภายในระยะเวลากว่า 60 ปี

มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 12 มีนาคม 2567 ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยได้ชัดเจน คณะรัฐมนตรีลงมติเป็นหลักการให้แจ้งไปยังทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่าในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญาซึ่งมีข้อบทให้อำนาจศาล ICJ มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น ให้จัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาล ICJ ไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ

ย้ำ - เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ !

วันที่ 15 และ 19 มีนาคม 2567 มีการแจ้งมติคณะรัฐมนตรีไปยังทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ เป็นไปตามข้อสังเกตเชิงข้อเสนอมาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566

ประเด็นนี้ต้องขอชื่นชมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐบาลชุดนายเศรษฐา ทวีสิน

เพื่อบันทึกไว้ในเป็นประวัติศาสตร์อีกครั้ง ผมได้นำประเด็นนี้มาเป็นกระทู้ถามด้วยวาจาในที่ประชุมวุฒิสภา ตั้งถามนายกรัฐมนตรีด้วยวาจาในที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ได้รับมอบหมายให้มาเป็นผู้มาตอบแทน ในวันนั้นผมได้ใช้เป็นโอกาสกล่าวเทิดเกียรติท่านอาจารย์สมปอง สุจริตกุลที่ยืนหยัดปฏิเสธอำนาจศาล ICJ มาตลอดด้วย

สบายใจได้ในระดับสำคัญ ขอแต่เพียงรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหนในอนาคต อย่าได้ยกเลิกหลักการสำคัญยิ่งอันเป็นมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 12 มีนาคม 2567 นี้

อย่าให้ซ้ำรอย MOU 2544 ก็แล้วกัน ที่เคยมีมติคณะรัฐมนตรีปลายปี 2552 ให้ยกเลิก ให้กระทรวงการต่างประเทศไปศึกษาวิธีการยกเลิก แต่ศึกษากันยาวนาน 5 ปี จนถึงปลายปี 2557 กลับมีมติคณะรัฐมนตรีอีกชุดหนึ่งให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีชุดปี 2552 ให้กลับมาใช้ MOU 2544 เป็นกรอบการเจรจากับกัมพูชาอีก

อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย !

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'พปชร.' ลั่น ยกเลิก MOU44 ฝ่ายเดียวได้ หวั่นเอกสารแนบท้าย ทำไทยเสี่ยงเสียพื้นที่ทางทะเล

พปชร. ย้ำจุดยืน ยกเลิกเอ็มโอยู 44 ทำฉบับใหม่ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายสากล ระบุ เลิกฝ่ายเดียวได้ ชี้ เอกสารแนบท้ายมีข้อบกพร่องเยอะ ทำไทยเสียเปรียบ เสี่ยงเสียพื้นที่ทางทะเล จี้ กต.แจง ปมทำผิดกติกาสากล ปัด เคลื่อนไหวหวังผลทางการเมือง

'อิ๊งค์-อ้วน' ยัน MOU44 สำคัญ ไทยต้องคุยกัมพูชาชัดเรื่องเขตแดนภายใต้ JTC แล้วนำเข้ารัฐสภา

นายกฯ ยัน MOU44 สำคัญ ย้ำไม่ยกเลิกฝ่ายเดียวจะเกิดปัญหาระหว่างประเทศ ไทยต้องคุยกับกัมพูชาชัดเรื่องเขตแดน ภายใต้คกก. JTC เพื่อเป็นหลักฐานการคุย คาดตั้งเสร็จกลาง พ.ย.นี้ ลั่นผลประโยชน์ใต้ทะเลยังไม่คุยจนกว่าจะชัดเจนและนำเข้ารัฐสภา ยอมรับกัมพูชาถามคืบหน้า