15 ต.ค.2567- ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Tong Kaewtrakulpong โพสต์กรณีน้ำท่วมปางช้างเชียงใหม่เป็นตอนที่ 2 ระบุข้อความว่า
ตอนที่ 2 : ผิดหวัง ผิดคาด….
ตอนที่ฉัน สร้างปาง “บ้านช้างและธรรมชาติ” พร้อมอุปสรรคมากมาย มีคนเล่นแผนสกปรกเพื่อจะกีดขวางทุกวิถีทางไม่ให้ฉันทำสำเร็จ ภารกิจรักษาช้างที่ฉันทำ การรักษาช้างแต่ละเชือกที่บีบหัวใจเหลือเกิน ระหว่างรักษาพวกเขา ยิ่งนานยิ่งผูกพัน ฉันมุ่งมั่นเปลี่ยนทัศนคติควาญและช้าง ให้ควาญไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ใช้ตะขอ แต่ควาญบอกต้องใช้ตะปูบางครั้ง เวลาช้างดื้อ..หรือเปลี่ยนควาญ..จนสุดท้าย ไม่ต้องใช้ทั้งตะขอ ตะปูในที่สุด..
เมื่อช้างเริ่มรู้สึกไว้ใจ ก้อเปลี่ยนพฤติกรรมจากช้างก้าวร้าวเป็นช้างที่อ่อนโยนได้ อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้ทำสำเร็จทุกเชือก ช้างบางเชือก ต่อให้พยายามอย่างไร ก้อเปลี่ยนเขาไม่ได้ อันนี้ต้องยอมรับตามตรง
ฉันเคยโดนช้างมอสทำร้าย เพราะเขาตั้งใจทำร้ายควาญ แต่ฉันโดนลูกหลง ฉันจึงเริ่มตระหนักว่าโซ่กับตะขอ จำเป็นสำหรับช้างบางเชือกจริงๆ..ฉันเกือบตายถ้าไม่มีโซ่ล่ามช้างเชือกนั้นไว้..พี่ๆในวงการบอกฉันว่า ถ้าช้างแก่ ช้างพิการ ก้อปล่อยได้ แต่ช้างหนุ่ม ช้างสาว ช้างดุ จะไม่มีโซ่ ไม่มีตะขอไม่ได้ ฉันจึงเริ่มมองอะไรด้วยความเป็นจริง ไม่เพ้อฝัน ไม่มั่นใจตัวเองจนเกินไป…เริ่มเรียนรู้จากควาญ จากหมอ..แต่ถึงจะยุ่งกับภารกิจตรงหน้าอย่างไร..ฉันก้อไม่เคยลืมเดือนเพ็ญ
ฉันขึ้นไปหาเดือนเพ็ญอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ฉันแวะ รพ.ช้างที่ลำปางก่อน ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูล พาไปดูสระธาราบำบัดให้ช้าง บอกว่าที่แห่งนี้ รักษาช้างฟรี โดยอาศัยเพียงเงินบริจาค การขายไม้ ช้างภาคเหนือที่เคสหนักๆ ปางช้างน้อยใหญ่จะส่งให้ทางนี้รักษา แล้วแต่จะบริจาคเงินมา
ฉันเลยถามว่า ทางคุณคนนี้ มูลนิธินี้ ได้ส่งช้างมารักษาหรือเปล่า? เขาตอบว่าส่ง..เราเลยโพล่งไปว่า เขาคงบริจาคมากมายเพราะเขาจิตใจดี และได้เงินบริจาควันนึงเป็นล้าน เจ้าหน้าที่ตอบฉันว่า เขาแทบไม่บริจาคเลยค่ะ ไม่บริจาคทุกครั้ง บริจาคทีนึงก้อราว 3,000 บาท ค่าน้ำมันรถไปรับส่งช้างเขาที่แม่แตง เชียงใหม่ ยังไม่พอเลย
ทั้งนางยังใส่ความอีกว่าทาง รพ มีการแสดงช้างลากซุง มีให้ขี่ช้าง…ทำคุณบูชาโทษไปอีก..
ฉันช้อค..ฉันอึ้ง..ฉันสับสน…เริ่มมองเขาใหม่…เริ่มชั่งใจว่าทุกอย่าง อาจไม่ใช่สิ่งที่เห็น แต่ก้อเก็บไว้ในใจ..เริ่มสอบถามคนในวงการมากขึ้น ทุกคนพูดถึงผู้หญิงคนนี้ในแง่ลบในทิศทางเดียวกัน..ฉันแอบคิดในใจว่าเขาถูกใส่ร้ายจากผู้เสียประโยขน์หรือเปล่า? แต่บางคน ก้อไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเขา เป็นหมอที่ได้รับความเคารพจากชาวช้างมากๆ ก้อยังบอกว่าเขาเลวร้ายเพียงใด..
ข้อมูลเหล่านั้น พรั่งพรูเข้่ามา เช่น การแอบอ้าง เอาผลงานรักษาของหมอมาเป็นของมูลนิธิตัวเอง..การมั่วสาเหตุของการบาดเจ็บของช้าง เช่น โดนต้นไม้ล้มใส่ แต่มาบอกโดนนักท่องเที่ยวนั่งหลังแอ่น…การใส่ความปางอื่นๆ…จนเขาอยู่ไม่ได้ ก้อไปยึดกิจการ ยึดช้าง หรือเอามาเป็นเครือข่าย..การยิงหนังสติ้กของควาญภายในจนช้างตาบอด..ความไม่ชอบมาพากลของเงินบริจาค…ที่ดินที่กว้านซื้อในนามคนใกล้ชิด..เรื่องครอบครัวที่ทิ้งพ่อ ตัดขาดพี่น้อง..คดีความฟ้องร้องต่างๆ…การโยนศพควาญทิ้งในแม่น้ำ..เกิดคำถามในใจ…นี่เขาสร้างภาพทุกอย่างเหรอเนี่ย??
ระหว่างที่ฉันดำเนินกิจการไปสักพัก ความสำเร็จของฉันคือสามารถยกเลิกการใช้ตะขอกับช้างได้ และไม่มีเหย่ง 24 ชั่วโมง..ณ วันนึง รองประธานของมูลนิธิที่เป็นสัตวแพทย์มีประชุมที่กาญจนบุรี คุณหมอก้อได้มาเยี่ยมที่ปางฉัน และเราได้แวะไปมาหาสู่กันเรื่อยๆ…
ฉันเรียกหมอว่าพี่หมอ…พี่หมอชักชวนฉันเป็นปางช้างในเครือ ด้วยสถานที่ที่สวยงาม และความที่ไม่ต้องใช้ตะขอกับช้าง..ตอนแรกฉันก้อสนใจ พี่หมอเลยให้คำแนะนำสารพัด บอกเทคนิคให้ฉันเดินรอยตามหลายอย่าง…
เช่น ให้ไปหาซื้อช้างแก่ ช้างผอม ราคาถูกๆ แล้วมาฟื้นฟู ให้ใส่สตอรี่เว่อร์ๆ เข้าไป แล้วร่อนรูปขอเงินบริจาค เขาบอกว่ามีแต่ฝรั่งซื้อให้เป็นตัวๆ หลักหลายแสน หลักล้าน ไม่ต้องลงทุนเองเลย แล้วก้อยังได้เงินบริจาคต่อเนื่องเรื่อยๆ…สตอรี่ที่ใส่ จริงบ้างไม่จริงบ้าง ไม่มีใครรู้หรอก..เอาเศร้าเข้าไว้
แล้วให้หาอาสาสมัครชาวต่างชาติ มาโฆษณาให้ คำว่าอาสาสมัคร คนเชื่ออยู่แล้ว นักข่าวอีกนะ ให้เงินได้ก้อให้ ให้ทำอาหารมังสวิรัติ ไม่ให้อาบน้ำช้าง ไม่ให้ป้อนอาหารช้าง ให้นักท่องเที่ยวเห็นว่าให้ช้างเลือกกินเอง..ทั้งหมดเพื่อเอาใจต่างชาติ ให้ช้างเป็นช้าง..
วันนึง เราออกไปกินข้าวด้วยกัน ฉันสั่งอาหารมังสวิรัติให้พี่หมอ พี่หมอรีบปฏิเสธบอกว่ากินมังสวิรัติเฉพาะในปางเท่านั้น ออกมานอกปางก้อกินเนื้อสัตว์ปกติ…
วันที่พี่หมอมาเดินดูบรรยากาศในปาง แล้วเห็นฉันล่ามพลายมอส ตัวตึงไว้ริมน้ำ พี่หมอตำหนิฉันว่าไม่ควรมาล่ามต่อหน้านักท่องเที่ยว.. ฉันบอกว่าก้อบอกได้นี่ว่าเขาดุ เรายังมีคุกไว้ขังนักโทษเลย พี่หมอบอกไม่ได้ ทำงี้ไม่ได้ ที่มูลนิธิเขาจะขังช้างดุไว้ ในพื้นที่ที่ไม่ให้มีใครเข้าไปได้เลย เพราะขี้เกียจตอบคำถามแขก อาสาสมัครก้อไม่ให้เข้าไป..(จนเกิดอุทกภัย แล้วความจริงข้อนี้ ถูกเปิดเผยออกมา)
ตอนนั้น ฉันเริ่มสับสน ใจก้ออยากได้แขกที่เขาส่ง..เขาชี้แจงว่า ถ้าเขาส่งแขกมา ราคา 2,500 บาท เขาจะให้ปางเรา 1,200 บาท โดยที่เราต้องแบกรับต้นทุนทุกอย่างไว้เอง..แต่รับประกันว่าเขาจะส่งแขกมาจำนวนมาก ด้วยชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของเขา
แต่พื้นฐานเลย..ฉันเป็นคนไม่โกหก และไม่ชอบให้โกหก…บางช่วง..ฉันถือศีล 8 ด้วยซ้ำ ฉันกลัวบาป..ฉันตัดสินใจปฏิเสธเขาไป โดยให้เหตุผลว่า ฉันยังคงให้ขี่ช้างหลังเปลือย เพื่อคงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับช้าง ให้ช้างฉันเป็นมิตรกับคน การให้คืนสัญชาตญาณป่า ฉันเกรงอันตราย ไม่ใช่แนวที่ฉันอยากทำ..เพราะฉันใช้เวลารักษากายใจช้างมา ฉันไม่อยากให้มันสูญเปล่า…หากช้างจะกลายเป็นก้าวร้าว…
ช่วงนี้ที่ยุ่งมาก..ฉันทิ้งช่วงห่างในการไปเยี่ยมเดือนเพ็ญ..หลายเดือนให้หลัง..ฉันกลับไปเยี่ยมเดือนเพ็ญ..คราวนี้ ฉันกลัวเดือนเพ็ญมาก…สายตาช้างที่ฉันรัก..มองฉันเหมือนคนไม่รู้จัก..ไม่นิ่ง ไม่ให้กอด ไม่เป็นมิตร..จากการที่ไม่ได้รับสัมผัสจากคนเพียงพอ…ฉันเสียใจมาก และเป็นสิ่งยืนยันให้ฉันมั่นใจว่าฉันจะไม่มีวันให้ช้างในปางของฉัน เป็นอย่างนี้ คืนสัญชาตญาณป่าแบบนี้เด็ดขาด..
ระหว่างที่เดินชมช้างเชือกอื่นนั้น..ได้ยินไกด์พูดถึงการที่แม่ช้างฆ่าลูกช้างตายตอนแรกเกิด..ว่าแม่ช้างไม่อยากให้ลูกช้างเติบโตมาแล้วเจอชะตากรรมแบบแม่ช้าง พี่หมอเบือนหน้า แนวๆ ว่าแม่ง..ดราม่าเหลือเกิน..ฉันเลยถามไปว่าถ้างั้น ผ่าจ้านก้อดีแล้วสิ..แยกลูกแยกแม่ แม่จะได้ไม่ฆ่าลูก..จะมาสนับสนุนให้แม่ลูกอยู่ด้วยกันทำไม? มันฟังดูย้อนแย้ง..คุณไกด์ค้อนฉันขวับ..แล้วก้อเดินไป… 555
ฉันกลับมาเมืองกาญได้ไม่นาน แล้วเดือนเพ็ญก้อจากฉันไป..เดือนเพ็ญล้มที่ปางแห่งนั้น…แล้วฉันก้อไม่ไปที่นั่นอีกเลย..
ผ่านไปหลายปี..กับสถานการณ์ช่วงโควิด..มูลนิธินี้ ฉวยโอกาสร่อนรูปช้างผ่ายผอม และขอเงินบริจาคทั่วโลก..โดยอ้างว่าจะนำมาช่วยเหลือปางช้างทั่วประเทศ..และไปไลฟ์สด ช้างกะเหรี่ยงที่เดินเท้ากลับบ้านเกิดช่วงนั้นอยู่แล้ว..อ้างว่าเขาไม่มีงาน ต้องเดินเป็นร้อยๆกิโลเพื่อกลับบ้าน..ส่งให้คนหลั่งไหลบริจาคมากมายเป็นหลายล้านบาท..
แต่สิ่งที่ฉันได้รับจากมูลนิธินี้คือ…หญ้าสับปะรด 1/3 คันรถหกล้อ (มูลค่าประมาณ 2,000 บาท) และไม่มีความช่วยเหลือทางการเงินใดๆ เลย..ส่วนปางที่ช้างน้อยกว่า แต่มีสัมพันธ์ที่ดีกับนาง ได้เงินช่วยเหลือ 200,000 บาท และควาญได้คนละ 2,000 บาท และหลายครั้งหลายครา ขณะที่ปางของฉัน ได้เพียงแค่หญ้า 1/3 คันรถ..ครั้งนั้นครั้งเดียวเท่านั้น ตลอดระยะเวลา 3 ปี…หลังจากนั้นไม่นาน นางก้อไปกว้านซื้อช้างจากแคมป์ช้างที่เจ้าของมีรถซูเปอร์คาร์ และไปช่วยเหลือเจ้าของแคมป์ช้างชาวต่างชาติคนนึงออกจากคุก..
อย่างไรก้อตาม..ฉันเพิ่งรู้ในภายหลังว่า บางปางที่นางเอาเงินบริจาคมาให้นั้น..เขาให้เซ็นต์สัญญาเป็นเงินกู้ทั้งหมด..พอจบโควิด ปางเหล่านั้นติดหนี้ก้อนโต… สิบล้าน ยี่สิบล้านบ้าง..พอไม่มีเงินคืนให้ นางก้อไปยึดช้างเขา..ยังคงเป้นคดีความที่ฟ้องร้องกันอยู่ เนื่องจากปางที่ติดหนี้ ไปสืบมาได้ว่าองค์กรต่างประเทศ บริจาคผ่านนาง..ให้ช้างเชือกละ 150,000 บาท แต่นางเอามาให้ 15,000 บาท..บาางปาง ให้ควาญแค่คนละ 800 บาทเท่านั้น..
ฉันมองไป..และพิจารณา..ถอยออกมา รอวันกฎแห่งกรรมทำงาน..ผ่านไปเกือบสิบปี…ฉันเคยท้อและเริ่มหวั่นไหว ไม่เชื่อในกฎแห่งกรรมเพราะนาง…แต่แล้ว วันนี้ก้อมาถึง..วันที่ภัยธรรมชาติ เปิดเผยทุกอย่าง..วันที่นางแดดิ้นด้วยแรงริษยา นำพามาด้วยแผนสกปรก..แต่มันกลับเปิดโปงทุกอย่างที่นางซุกไว้ไต้พรม..ให้สังคมเริ่มตาสว่าง เริ่มรับรู้..
นางไม่ใช่คนไทย..และนางชักนำให้สามีนาง และหุ้นส่วนชาวต่างชาติ มากอบโกยผลประโยชน์บนแผ่นดินไทย และทำลายวัฒนธรรมคนเลี้ยงช้างไทยให้ถูกประนามไปทั่วโลก…นอกจากนางจะเนรคุณพ่อแล้ว..นางยังเนรคุณแผ่นดิน..คนไทยใจดีที่ตกหลุมพรางนาง..จะรู้หรือไม่ว่า…คุณกำลังมีส่วนในการทำลายประเทศไทยเช่นกัน…
ฉันรู้ดีว่านางทำความดีต่อสัตว์ไว้มาก..แต่นั่นคือเค้กก้อนใหญ่ของเงินมหาศาล…
ฉันไม่ได้อิจฉานาง เพราะแนวทางของนาง ก้อคือส่วนหนึ่งในแนวทางของฉัน..เพียงแต่สิ่งที่นางไม่มี..คือความจริงใจ และความเกรงกลัวต่อบาปในเวทนาพาณิชย์นั้น..
ยาพิษแห่งความศรัทธา…ได้ถูกยื่นให้คนทั่วโลกไปแล้ว..แม้หากนางล้ม..อาจยังผลให้คนทั่วโลกไม่ไว้ใจคนไทยอีก..
แต่เราจะนิ่งนอนใจกันอยู่อีกหรือ? เพราะจริงๆ มันเป็นเรื่องของคนไทยทุกคน..
ภาพประกอบคือพิธีผ่าจ้าน ที่นางไปจ้างควาญให้ทำ เผยแพร่จนคนประนามเมืองไทย ที่สร้างความอัปยศให้วงการช้างไทยอย่างให้อภัยไม่ได้ !!….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โฆษกศปช. เผยกรณี 'น้ำผุด' อ.เชียงดาว มอบหน่วยงานลงพื้นที่ศึกษาแนวทางใช้ประโยชน์
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เปิดเผยว่า ตามที่ ศปช. ได้เคยประกาศแจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้เฝ้าระวังฝนตกหนักในพื้นที่ระหว่างวันที่ 20-24 พ.ย.ไปแล้วก่อนหน้านี้
สาวไทยแพ็คกระเป๋า แอ่วเหนือไปพร้อมกับเจ้าของรอยยิ้มพิฆาต 'คิม ซอน โฮ'
ทรูวิชั่นส์ นาว เอาใจสาวไทย ที่หลงรักในรอยยิ้มกระชากใจของเขยไทยอย่าง “คิม ซอน โฮ” ที่ครั้งนี้จะรับบทแขกรับเชิญพิเศษ พาสาว ๆ ไปออกเดท ท่องเที่ยวกันแบบชุ่มปอดที่ภาคเหนือของประเทศไทย ในรายการ “Brothers who eat and watch S2” (คู่หูตะลุยพาชิม ปี 2) ที่มีพิธีกรหลักดำเนินรายการอย่าง “คิมจุนฮยอน” และ “มุนเชยุน”