นักกฎหมาย ธรรมศาสตร์ เชื่อเอาผิด 44 ส.ส.ก้าวไกลยื่นแก้ 112 ยาก เพราะทำตามหน้าที่ ไม่ใช่ทำชั่ว ฟันธงหากคดีขึ้นศาลฎีกาฯ องค์คณะฯตัดสินคดี ต่างจากศาลรธน.เพราะดูเจตนาเป็นสำคัญ
11 ส.ค.2567-รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นกรณี คณะกรรมการป.ป.ช.อยู่ระหว่างการพิจารณาคำร้องกรณี ส.ส.พรรคก้าวไกล 44 คนสมัยที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันก็เป็นส.ส.กันหลายคน ถูกร้องว่าทำผิดฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ กรณีร่วมกันเสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 เข้าสภาฯว่า ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพราะการเสนอแก้กฎหมายเป็นการกระทำในทางนิติบัญญัติ และต้องไม่ลืมว่าการที่ศาลอ้างเหตุแห่งการสั่งยุบพรรค ไม่ได้วินิจฉัยโดยอ้างจากเหตุของการเสนอแก้กฎหมายอย่างเดียว แต่ยังอ้างถึงการกระทำของ สส. ในหลายการกระทำและในหลายวาระด้วยกัน เพราะฉะนั้นแล้ว การเสนอแก้กฎหมายโดยลำพังตัวมันเอง เป็นการทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ต่อให้กฎหมายที่เสนอมันอาจจะทำให้เกิดข้อโต้แย้งหรือหมิ่นเหม่ต่อศีลธรรม มันก็ยังไม่ใช่การกระทำผิดกระทำชั่วใดๆ เพราะการเสนอกฎหมาย เป็นเพียงการโยนคำถามให้ผู้แทนประชาชนร่วมกันถกเถียงและหาทางออก ถ้าเราไปจำกัดว่าเรื่องใดเสนอได้หรือไม่ได้ ก็จะเป็นการไปจำกัดอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บอกเช่นนี้
นายมุนินทร์ กล่าวว่า ถ้าแบบนี้ ต่อไป หากสส.ไปเสนอร่างพรบ.ต่างๆ ที่ไม่ใช่เรื่อง 112 แต่เป็นเรื่องอื่น ที่อาจมีการมองว่าเป็นเรื่องหมิ่นเหม่ อย่างเช่นที่ก่อนหน้านี้ มีการเสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับสื่อลามกอนาจาร หรือเสนอกฎหมายทำให้การพนันเป็นเรื่องถูกกฎหมาย หรือเรื่องกัญชา แล้วมีคนไปร้องศาลรธน.แล้วศาลรธน.บอกว่า การเสนอกฎหมายแบบนี้มันไม่ชอบ ไม่ถูกต้องตามหลักศีลธรรม -คุณธรรม แล้วจะมีคนไปยื่นให้ตรวจสอบพวกสส.ที่ไปเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายลักษณะดังกล่าวที่เป็นเรื่องหมิ่นเหม่ ต่อศีลธรรมหรือไม่ มันจะมีความเสี่ยงเยอะมาก มันจะไปกระทบกับการทำหน้าที่ทางฝ่ายนิติบัญญัติของสส. เพราะว่าเขาไม่ได้ไปเรียกร้องให้ไปทำอะไรนอกรัฐสภา แต่ว่าเป็นการกระทำตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ของเขาในการทำหน้าที่สส. คือก็เสนอเข้าสภาฯ แล้วก็ไปอภิปรายกันในสภาฯ จะพอใจหรือไม่พอใจ อย่างไร ก็ไปว่ากันในสภาฯ ที่สภาฯ ก็มีสิทธิ์ปฏิเสธร่างกฎหมายนี้ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมมองไม่ออกว่าการเสนอแก้กฎหมายโดยผ่านกระบวนการของสภาฯ มันจะเป็นเรื่องของการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้อย่างไร
“แต่ว่าบ้านเรามันก็ไม่แน่ เพราะอย่างที่หลายคนบอก คือหลายเรื่องอาจจะเป็นมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่ ก็มีคนสงสัย ตั้งคำถามลักษณะแบบนี้มาตลอด เพราะบางทีในทางกฎหมายมันดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้าย มันก็เกิดผลบางอย่างทางกฎหมายขึ้นมา คนก็สงสัยว่า ทำไมหลักการตามกฎหมายมันเป็นไปไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงมันกลับเป็นไปได้ คนก็เลยบอกว่าเป็นเพราะเป็นเรื่องทางการเมืองหรือไม่ ซึ่งเราก็บอกอะไรไม่ได้ แต่หากมองในเชิงกฎหมาย มันไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องที่จะบอกว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้เลย”
เมื่อถามว่า หากเกิดป.ป.ช.ชี้มูล 44 ส.ส.ก้าวไกลดังกล่าวขึ้นมา จนส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาไต่สวน ทางศาลฎีกา ก็ต้องพิจารณาคดีโดยดูจากเรื่องของเจตนาเป็นสำคัญ นายมุนินทร์กล่าวว่า ถูกต้อง เพราะกระบวนการพิจารณาคดีของศาลฎีกา ตามหลัก due process ศาลก็ต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งจริงๆ ต้องตั้งแต่ชั้นคณะกรรมการป.ป.ช. ที่หากจะรับเรื่องไว้ ก็ต้องมีการตั้งอนุกรรมการไต่สวน ที่ต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวได้มีโอกาสชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่ก่อนที่ป.ป.ช.จะมีมติใดๆ
นายมุนินทร์ย้ำว่า หากป.ป.ช.มีการชี้มูลคดี ก็ต้องส่งศาลฎีกา ทางศาลฎีกา ก็ต้องตั้งองค์คณะพิเศษขึ้นมาพิจารณาคำร้อง โดยต้องมี due process คือมีการสืบพยาน มีการให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหา ได้นำพยานหลักฐานเข้าพิจารณาคดีอย่างเต็มที่ก่อนศาลฎีกาจะตัดสินคดี ซึ่งการพิจารณาเรื่องความผิดคดีอาญาหรือการกล่าวหาว่าละเมิดฝ่าฝืนจริยธรรมฯ ต้องมีเรื่องของเจตนา เข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องมีการพิสูจน์ว่ามีเจตนาที่จะละเมิดจริยธรรมหรือไม่ หรือเป็นเพียงเจตนาที่จะเสนอร่างแก้ไขกฎหมายหรือต้องการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติตามปกติ และอย่าลืมว่าร่างกฎหมาย จะเป็นกฎหมายหรือไม่ ต้องผ่านกระบวนการอีกมากมายในระบบรัฐสภา และต้องมีการโหวตของทั้งสองสภา ในอดีตแม้กฎหมายไม่ว่าจะเป็นพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดที่ออกมาแล้วถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติคนใดที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายดังกล่าวต้องรับผิดชอบทั้งในทางกฎหมายหรือในทางจริยธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ 44 ส.ส.ก้าวไกลสมัยที่แล้วที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 เข้าสภาฯ มีแกนนำพรรคประชาชนทั้ง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค นายณัฐวุฒิ บัวประทุม กรรมการบริหารพรรคและนายทะเบียนพรรค นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รวมถึง นส.ศิริกัญญา ตันสกุล แกนนำพรรคประชาชน และส.ส.พรรคประชาชนอีกหลายคน ที่รวมถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่แม้จะโดนตัดสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งสิบปีไปแล้วจากคดียุบพรรคก้าวไกล แต่ก็ต้องมาลุ้นในคดี44 พรรคก้าวไกลดังกล่าวด้วย ท่ามกลางการจับตาจากหลายฝ่ายว่า หากคดีไปถึงศาลฎีกาฯ จะถูกสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิตเหมือนกับหลายคดีก่อนหน้านี้เช่นคดีของนส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีตส.ส.ราขบุรี พรรคพลังประชารัฐ หรือนส.พรรณิการ์ วานิช อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่หรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'นันทเดช' ลั่น! อย่ากลัว 'ทักษิณ' จะใหญ่โตไปกว่านี้
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ อย่ากลั
ที่ปรึกษาของนายกฯ โชว์กึ๋นฟาด 'พลังขวาสุด' จับวาระชาตินิยมเปิดทางอำนาจนอกระบบ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง 6 ข้อกล่าวหาพรรคเพื่อไทยล้มล้างการปกครอง หุ้นไทยพุ่ง
สส.เพื่อไทย ดี๊ด๊า ประเทศไทยมีระบบที่เป็นมาตรฐาน!
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่าประชาชนที่ติดตามเรื่องนี้คงสบายใจขึ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับ
สาวกเพื่อไทย ยื่นศาลรธน.สอบ 'ธนพร' ละเมิดอำนาจศาล
ที่บริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญ นายนิยม นพรัตน์ หรือเค สามถุยส์ และนายทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร เดินทางมายังสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อยื่นหนังสือร้อง นายธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์
'อิ๊งค์' ยิ้มรับ 'พ่อ-เพื่อไทย' รอดล้มล้างปกครอง ชาวเน็ตชี้จากนี้ไป 'ทักษิณ' ใส่เกียร์เหลิง
จากกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัย คำร้องที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะประชาชน ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ
2 ตุลาการศาลรธน.เสียงข้างน้อย รับคำร้อง 'ทักษิณ' สั่งรัฐบาลเอื้อประโยชน์ฮุนเซน น่าจะเกิดผลใช้สิทธิล้มล้างปกครองฯ
จากกรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะประชาชน ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2567 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูก