12 ม.ค.2565 - ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นเป็นยกฟ้องในคดีที่บริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์จำกัด ผู้ดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) คณะกรรมการกสทช คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3กรณีขอให้ศาลสั่งเพิกถอนหนังสือของผู้ถูกฟ้องที่ 1 ที่สมช.4007/19430เรื่องขอให้ระงับการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ลงวันที่ 19พ.ค. 59
โดยเหตุที่ศาลปกครองสูงสุดยกฟ้องเห็นว่าการที่มาตรา 23 พ.ร.บการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2551 ประกอบกับข้อ 5(8)ของประกาศกสทช.เรื่องการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2555 ที่บัญญัติให้จำกัดเวลาโฆษณาในการออกอากาศรายการที่มีการโฆษณาบริการหรือสินค้าเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอาเปรียบโดยอาศัยการใช้เครือข่ายหรือการโฆษณาอันมีลักษณะเป็นการค้ากำไรเกินควรหรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญจากการที่มีโฆษณามากเกินสมควรกฎหมายจึงกำหนดให้การออกอากาศรายการที่มีการโฆษณาบริการหรือสินค้าให้มีเวลาในการโฆษณาบริการหรือสินค้าสูงสุดต่อวันไว้ว่า เฉลี่ยแล้วต้องไม่เกินชั่วโมงละ 10 นาทีหรือไม่เกิน 240 นาทีต่อวันสำหรับแต่ละช่วงเวลาของวันนั้น มีเจตนาที่จะไม่ให้ประชาชนต้องดูโฆษณาที่บ่อยหรือถี่เกินไป กฎหมายจึงกำหนดให้การออกอากาศรายการที่มีการโฆษณาบริการหรือสินค้าให้มีเวลาโฆษณาไม่เกินชั่วโมงละ 12 นาทีครึ่ง และไม่อาจนับระยะเวลาการออกอากาศทั้งหมดของแต่ละรายการแล้วนำมาคำนวณเป็นเวลาที่สามารถโฆษณาได้ เนื่องจากอาจทำให้บางชั่วโมงของรายการมีโฆษณาบ่อยหรือถี่เกินกว่าชั่วโมงละ 12 นาทีครึ่งซึ่งจะขัดต่อกฎหมาย จึงต้องนับเวลาโฆษณาในแต่ละชั่วโมงๆไปเป็นลำดับ
สำหรับการตั้งต้นนับเวลาโฆษณานั้นหากนับเวลาตั้งแต่เวลาตั้งต้นของชั่วโมงจะเกิดภาระแก่ผู้รับใบอนุญาตและผู้จัดรายการเนื่องจากเวลาเริ่มต้นของแต่ละรายการอาจไม่ตรงกับเวลาเริ่มต้นของชั่วโมงเช่นรายการอาจออกอากาศตั้งแต่เวลา 09.30 -10.30 น หรือ 9.45 -10.45 น หรือบางรายการอาจมีเวลาออกอากาศไม่เต็มชั่วโมงหรือเกินกว่า 1 ชั่วโมงการนับเวลาโฆษณาตั้งแต่เวลาเริ่มต้นของแต่ละรายการจึงมีความเหมาะสมและทำให้ผู้รับใบอนุญาต ผู้จัดรายการไม่สับสนสามารถบริหารจัดการเวลาโฆษณาได้ถูกต้องมากกว่าอีกทั้งหากใช้วิธีเริ่มนับเวลาโฆษณาตั้งแต่เวลาเริ่มต้นของชั่วโมงก็อาจมีผลทำให้บางรายการสามารถโฆษณาด้วยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดโดยผู้รับใบอนุญาตสามารถใช้วิธีลดเวลาโฆษณาของรายการอื่นซึ่งออกอากาศในชั่วโมงเดียวกันได้ การนับเวลาโฆษณาตั้งแต่เวลาเริ่มต้นของแต่ละรายการจึงมีความเหมาะสมเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้รับใบอนุญาตและผู้จัดรายการสมเจตนารมณ์ของกฎหมาย
คดีนี้เมื่อนับเวลาโฆษณาตั้งแต่เวลาเริ่มต้นของแต่ละรายการที่กสทช.กล่าวอ้างว่าได้รับการร้องเรียนว่ามีการโฆษณาเกินกฎหมายกำหนดปรากฏว่าในวันที่ 19,22,23,24 ส.ค.2557 ในทุกรายการมีบางช่วงเวลาของรายการที่มีระยะเวลาโฆษณาเกินกว่าชั่วโมงละ 12 นาทีครึ่งตามที่กำหนดในมาตรา 23พ.ร.บการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2551การกระทำของสถานีโทรทัศน์ของผู้ฟ้องคดีจึงย่อมเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคโดยอาศัยการใช้เครือข่ายหรือการโฆษณาที่มีลักษณะเป็นการค้ากำไรเกินควรก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญตามมาตรา 31 พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์2553และข้อ5(8)ของประกาศกสทช.เรื่องการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2555 ซึ่งกสทช.มีอำนาจตามข้อ 8 ของประกาศดังกล่าวสั่งให้ระงับการกระทำดังกล่าวได้ มติกสทช.ในการประชุมครั้งที่ 12/2559 เมื่อวันที่ 20 เม.ย.59ที่ให้ผู้ฟ้องคดีระงับการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการโทรทัศน์จึงเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
นอกจากนี้อัตราค่าปรับทางปกครองที่กสทช.กำหนด 1 ล้านบาทและปรับอีกวันละ 50,000 บาทตลอดระยะเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเป็นจำนวนค่าปรับที่ไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ในมาตรา 77 พ.ร.บ.ดังกล่าวและข้อ 9 ของประกาศกสทช ดังนั้นมติกสทชในการประชุมครั้งที่ 12/2 559 เมื่อวันที่ 20 เม.ย 59 ให้ผู้ฟ้องคดีระงับการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคกรณีโฆษณาบริการหรือสินค้าเกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหากฝ่าฝืนจะดำเนินการปรับทางปกครองตามหนังสือสำนักงานกสทช.ลงวันที่ 19 พ.ค 59 จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนมติของกสทช.ในการประชุมครั้งที่ 12/2559 เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 59 เรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบระยะเวลาการออกอากาศโฆษณาของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3ที่ให้ผู้ฟ้องคดีระงับการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ดังกล่าวโดยดำเนินการแก้ไขปรับปรุงเพื่อปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายทันทีหากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้ปรับทางปกครองจำนวน 1 ล้านบาทและปรับอีกวันละ 50,000 บาทตลอดระยะเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทั้งนี้ให้มีผลนับแต่วันที่กสทช. มีมตินั้นศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษากลับเป็นยกฟ้อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มาแล้ว! ศาลปกครอง ร่อนเอกสารชี้แจงปม 'บิ๊กโจ๊ก' ยังไม่มีคำพิพากษาใดๆ
ศาลปกครอง เผยแพร่เอกสารชี้แจง กรณีที่มีสื่อมวลชนนำเสนอผลการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ยื่นฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการไว้ก่อน นั้น
ทลาย 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' ใช้เบอร์ 02 ลวงเหยื่อกว่าหมื่นเลขหมาย
พาณิชย์” ร่วม 3 หน่วยงาน แถลงข่าวจับกุมแก๊งคอลเซนเตอร์ ใช้นิติบุคคลบังหน้า หลอกลวงประชาชน หลัง กสทช. พบความผิดปกติใช้เบอร์โทร 02 นับหมื่นเลขหมาย โทรหาเหยื่อ ตำรวจพบมีนิติบุคคล 3 ราย เข้าไปเกี่ยวข้อง และกรมพัฒนาธุรกิจการค้าให้ข้อมูลนิติบุคคลเชิงลึก เผยยังได้วาง 7 แนวทาง ป้องกันการนำบริษัทไปใช้หลอกลวงเกิดขึ้นซ้ำอีก
ชาวบ่อทอง ชลบุรี เฮ!ศาลปกครองสูงสุดสั่งเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานยางพาราแล้ว
ที่ศาลปกครองสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า ตามที่ชาวบ้านบ้านหนองใหญ่-ทับสูง ตำบลบ่อทอง อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี
ผบ.ตร. ไม่ขอก้าวล่วง ศาลปกครองสูงสุด ชี้ขาด 'บิ๊กโจ๊ก' ขอคุ้มครองชั่วคราว
พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลปกครองยกคำร้องคุ้มครองชั่วคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ว่า ตนขอให้ความเห็นแบบกว้าง ๆ
ศาลปกครองสูงสุด ปิดเงียบผลชี้ขาดคดีบิ๊กโจ๊ก สั่งเก็บหลักฐานฟันสื่อละเมิดอำนาจศาล
นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานการประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด
จบแล้วบิ๊กโจ๊ก! สะพัด ศาลปกครองสูงสุด ชี้คำสั่ง 'ให้ออกจากราชการ' ชอบด้วยกฎหมาย
ที่ศาลปกครองกลาง ถ.เเจ้งวัฒนะ มีการประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด โดยนายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานการประชุม