'ศิริกัญญา' บอกรัฐบาลคอพาดเขียงเพิ่มงบ 1.22 แสนล้านส่อผิดกฎหมายอื้อ

'ศิริกัญญา' ชี้ดิจิทัลวอลเล็ต เสี่ยงขัดกฎหมายหลายมาตรา ท้าใช้เสียงข้างมากในสภาแก้ กม. ก่อนแล้วค่อยทำโครงการ ซัด ครม.-นายกฯคอพาดเขียง กระตุกสติพรรคร่วมอาจกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด

17 ก.ค.2567 - น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 วงเงิน 1.22แสนล้านบาทว่า ที่มางบประมาณในการนำมาทำโครงการดิจิตอลวอลเล็ต เมื่อไม่มีแหล่งเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เราจะเห็นว่าวงเงินสุดท้ายลดลงมาเหลือ 4.5 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลอ้างว่าเนื่องจากที่ผ่านมาเวลาเปิดให้ลงทะเบียนจะมีประชาชนมาลงทะเบียนเพียง 90% กู้เกือบสุดเพดาน และเหลือให้กู้เพียงกว่าหมื่นล้านบาท ปัญหาคือเมื่อหาเงินไม่ทัน ต้องดูฝั่งรายได้ว่ารัฐบาลจะเหลืองบเพียงพอรองรับความเสี่ยงเมื่อจัดเก็บรายได้ไม่เข้าเป้าได้หรือไม่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า รัฐบาลประมาณการจีดีพีจากเดิม 2.7 ลดลงเป็น 2.5 ส่วนประมาณการรายได้ไม่ได้ประมาณการใหม่ ยังบอกว่าจะจัดเก็บได้เท่าเดิม ทั้งที่เศรษฐกิจไม่ได้โตตามคาด แต่เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ประมาณการใหม่ ทั้งที่ล่วงเลยมาหลายเดือนแล้วหลังประมาณการครั้งล่าสุด ผลการจัดเก็บก็เห็นอยู่ว่าไม่มีทางได้เท่าเดิม โดยตัวเลขทางการออกมาว่าในช่วง 8 เดือนแรกปรากฏว่าต่ำกว่าเป้าไปแล้ว 2.6 หมื่นล้านบาท ด้วยสถานการณ์เช่นนี้เราไม่ทราบว่าจะมีรายได้เพียงพอในการใช้สำหรับงบปี 2567 หรือไม่ ยังจะมาขอกู้สภาแบบเต็มเพดานอีกหรือ จะไม่เหลือพื้นที่ไว้บริหารความเสี่ยงเลยใช่หรือไม่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวถึงงบกลางของปี 2567 ว่า ผ่านมา 7 เดือน งบกลางใช้ไม่ถึงไหน เท่าที่สืบค้นมีเบิกไปช่วยค่าไฟ น้ำมันไม่มี ช่วยคนไทยในอิสราเอล ฝุ่น 2.5 แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง ถึงว่าทำไมเศรษฐกิจแย่ แต่ไม่มีมาตรการอะไรมาช่วยเหลือประชาชน ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องสรุปว่างบกลางที่สภาอนุมัติเกือบแสนล้านบาทที่ยังไม่ออก เพราะรัฐบาลยังไม่รู้ว่าจะใช้กับโครงการดิจิตอลวอลเล็ตกี่บาท แต่ตอนนี้เคาะแล้วว่าต้องใช้ 4.3 หมื่นล้านบาท เท่ากับว่าเงินส่วนนี้ไม่ออกไปกระตุ้นหรือสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงปีงบประมาณนี้ แต่ถูกกั๊กไว้ใช้ปลายปีใช่หรือไม่

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า การโยกงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ไปใช้ในงบปี 2568 ถามว่าทำได้จริงหรือไม่ ก็ต้องบอบกว่าไม่น่าได้ เพราะงบกลางปีหรืองบเพิ่มเติมนั้น มาตรา21 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง กำหนดไว้ว่าต้องใช้จ่ายเงินระหว่างปีงบประมาณ นอกจากนี้ในมาตรา 43 ของ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ 2561 ต้องก่อหนี้ผูกพันไว้ก่อนสิ้นปี ถามว่าจะก่อหนี้ผูกพันอย่างไร ซึ่งเดาว่ารัฐบาลจะออกมาแถสีข้างถลอก ว่าการลงทะเบียนถือเป็นการก่อหนี้ผูกพัน ถ้าเป็นแบบนี้ถือว่าไม่ใช่ เพราะต้องเป็นสัญญาที่ทำทั้งสองฝ่าย ถ้าทำฝ่ายเดียวถือว่าเป็นการให้ การลงทะเบียนเป็นการทำสัญญาฝ่ายเดียว

“ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำไมรัฐบาลถึงไม่แก้มาตรา 21 มีเสียงข้างมากในสภาอยู่แล้ว ดิฉันขอเสนอเติมท่อนสร้อยไปว่าเว้นแต่มีเหตุเป็นอย่างอื่น โดยได้รับความเห็นชอบจาก ครม. จะได้เห็นชัดๆ ว่าเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายการเมือง หรือจะแก้ไขเป็นได้รับความเห็นชอบจากนายกฯ จะได้ชัดว่าใครกันที่จะเอาคอขึ้นเขียงเวลาทำผิดกฎหมายแบบนี้ เวลาที่เราเดินหน้าลุยไฟ ทำผิดกฎหมาย คนที่เดือดร้อนที่สุดคือข้าราชการประจำตัวเล็กตัวน้อย ขณะที่ฝ่ายการเมืองยังไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไร เวลาตัดสินใจทำอะไรที่เสี่ยงผิดกฎหมาย”น.ส.ศิริกัญญา ระบุ

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ถ้างบกลางไม่พอ สามารถเบิกจ่ายทุนสำรองจ่ายได้อีก 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมาตรา 45 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง จะใช้ได้ต่อเมื่องบกลางไม่เพียงพอ และเมื่อจำเป็นเร่งด่วนเพื่อประโยชน์แก่ราชการแผ่นดิน ทุนสำรองจ่ายเคยใช้มาก่อน คือช่วงโควิดระบาด แต่รอบนี้ความจำเป็นเร่งด่วนเดียวที่เห็น คือต้องรักษาหน้ารัฐบาล และต้องตั้งงบคืนในงบปี 2569

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า ขอเตือนไปยังภาคเอกชนที่จะใช้ตัวเลขงบลงทุนของภาครัฐไปประมาณการอาจจะผิดพลาด เพราะมีการคำนวณรายจ่ายลงทุนของดิจิทัลที่แปลกประหลาด อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่นับดิจิทัลว่าเป็นรายจ่ายลงทุนแล้ว อาจสุ่มเสี่ยงขัดต่อมาตรา 20 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง รายจ่ายลงทุนต้องไม่น้อยกว่า 20% ของงบประมาณ และต้องไม่น้อยกว่าวงเงินที่ขาดดุลของงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือไม่

“โครงการนี้จะลงทะเบียนอีก 15 วัน แต่ยังหาเจ้าภาพไม่ได้ และยังคงใช้ไว้ในงบกลางและระบบลงทะเบียนพึ่งได้ผู้ชนะการประมูล 2 เจ้า ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีระบบการชำระเงินที่ชัดเจน ดังนั้น จะทันหรือไม่ รวมถึงยังมีเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปมา และขณะนี้ก็ยังไม่มีการสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้าเข้ามาลงทะเบียนได้ ดังนั้นระบบที่ถูกออกแบบมาแบบนี้เอื้อกับร้านค้าที่มีสายป่านยาว แต่ร้านค้ารายเล็กอาจไม่เข้าร่วมโครงการ เพราะต้องการใช้เงินสดในการใช้จ่าย ซึ่งรัฐบาลก็ยังไม่บอกว่าจะต้องมีระบบการจ่ายภาษีอย่างไร ไม่มีความชัดเจนเลย ถ้าเขามีเงินสดไม่พอ จะมีสินเชื่อให้เพื่อจูงใจให้เข้าร่วมโครงการหรือไม่ ถือเป็นการกีดกันรายย่อยเป็นกลายๆ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า โครงการนี้ที่ยังไม่รู้ว่าจะลงทุนจริงๆ เท่าไหร่ แต่ตีไว้ประมาณ 5 แสนล้านบาท ก็บอกได้คำเดียวว่า เป็นการลงทุนแค่การได้รักษาหน้าตามที่ได้หาเสียงไว้แล้ว แม้หน้าตาจะไม่เหมือนตอนที่หาเสียงไว้ก็ตาม และได้เพิ่มจีดีพีได้เต็มที่แค่ 1.8% หรือ 3.5 แสนล้านบาท แบบนี้คุ้มทุนหรือไม่ เพราะสิ่งที่จะเสียไปคือเพิ่มความเสี่ยงทางการคลัง ทำผิดกฎหมาย เอื้อค้าปลีกรายใหญ่ กีดกันรายย่อย เสียโอกาสที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า และเสียโอกาสที่จะทำนโยบายอื่น ย้ำว่าเรื่องนี้สุ่มเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมาย ซึ่งหากสามารถทำต่อได้ จะสร้างบรรทัดฐานที่ผิดในการบริหารจัดการงบประมาณในอนาคต และสร้างความเสียหายที่ประเมินไม่ได้ รวมถึงการของบประมาณแบบนี้ จะเพิ่มภาระผูกพันไปถึงงบประมาณในอนาคต

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวทิ้งท้ายว่านี่เป็นกระสุนนัดใหญ่ นัดแรก นัดเดียว และนัดสุดท้ายของรัฐบาลที่จะได้มีโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ด้วยข้อจำกัดทางงบประมาณที่จะเกิดขึ้นตามมา ฉะนั้น จึงขอส่งความห่วงใยไปยังพรรคร่วมรัฐบาลว่า ท่านจะกลายมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการทำผิดกฎหมายครั้งนี้ ในการกระทำที่เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายครั้งนี้หรือไม่ ถ้ายังยึดถือหลักการหรือหลักวิชาการอะไรอยู่ในหัวใจ คงรู้ได้โดยไม่ต้องสงสัย ว่าทำแบบนี้จะทำให้ประเทศเราสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคต จึงขอให้ช่วยกันคว่ำร่างฉบับนี้

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โฆษกรทสช. มั่นใจขั้วรัฐบาลมีเอกภาพ วอนทุกฝ่ายหนุนร่างพรบ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข

โฆษก รทสช. มั่นใจขั้วรัฐบาลมีเอกภาพ สะท้อนจากการลงมติรายงานนิรโทษกรรม วอนทุกฝ่ายหนุนกฎหมายสร้างเสริมสังคมสันติสุขเข้าสภาฯ นิรโทษผู้กระทำผิดทางการเมือง ยกเว้น ม.112 พาประเทศไทยออกจากวังวนของความขัดแย้งห้วง20ปี

'ภูมิธรรม' ชี้ 'นิรโทษกรรม' จบแล้ว! หลังสภาโหวตคว่ำข้อสังเกต กมธ.

นายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีสภาผู้แทนราษฎรรับทราบรายงานผลการศึกษาแนวทางการตรากฎหมายนิรโทษกรรมคดีการเมือง

นายกฯอิ๊งค์ ต้อนรับชื่นมื่น ดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาล วางแผนครม.สัญจรทั่วทุกภาค

ที่โรงแรมโรสวูด ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ที่ชั้น 5 ห้องจัดเลี้ยง The Pavilion โรงแรมโรสวูด