บุคลากรรัฐจี้ รัฐบาลเร่งแก้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้โหดจากสถาบันการเงิน พร้อมลดหนี้กยศ. เหลือร้อย0.5 อึ้งพบทหารเงินเดือนถูกหักเหลือไม่ถึง 3พันบาท ขณะที่ นายกฯ เหน็บแบงค์ชาติไม่ลดดอกเบี้ย ชี้ปัญหาหนี้สินข้าราชการเป็นสารตั้งต้นความหายนะประเทศ
15 มี.ค. 2567 -ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการแถลงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินเงินกู้แก่บุคลากรภาครัฐ โดยมีบุคลากรจากส่วนงานราชการรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ มารายงานความคืบหน้าการดำเนินการแก้ปัญหาหนี้เงินกู้ แก่บุคลากรของหน่วยงานต่างๆ อาทิ กองทัพทุกเหล่าทัพ ตำรวจ หน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงตัวแทนจากธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย
โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะรองประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชน กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์สินเชื่อมีความรุนแรงส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตประชาชน ไม่ว่าจะเป็นหนี้ในระบบ และนอกระบบ แบ่งเป็น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อเช่าซื้อรถ บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ซึ่งมีความซับซ้อน ไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างดังนั้น ต้องรอรับการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อแก้ไขกฎหมายที่จำเป็น รวมถึงอำนาจฝ่ายตุลาการ เพื่อไกล่เกลี่ย และบังคับคดีให้เหมาะสมเป็นธรรม
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวต่อว่า คณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชน ต้องขอบคุณนายกฯ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีข้อสั่งการชัดเจนในการแก้ปัญหาหนี้สินของข้าราชการ บุคลากรภาครัฐ โดยให้ทุกส่วนราชการดำเนินการปรับปรุงกำหนดหลักเกณฑ์เงินเดือน เพื่อการดำรงชีพไม่น้อนกว่าร้อยละ 30 , ให้สถาบันการเงิน และสหกรณ์ออมทรัพย์ กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้ต่ำลง , ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ดูแลให้สหกรณ์ออมทรัพย์ทุกแห่ง กำหนดค่างวดเงินกู้ให้เหมาะสม เพื่อบรรเทาภาระหนี้เงินกู้ตามความจำเป็น ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาเงินกู้หนี้สวัสดิการของบุคลากรภาครัฐนับเป็นหนี้ขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ไม่ปรากฎในรายงานยอดหนี้ของศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จากจำนวนบุคลากรภาครัฐจำนวน 3.1 ล้านคน เป็นลูกหนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆจำนวน 1,378 แห่ง จำนวนลูกหนี้รวม 2.8 ล้านคน คิดเป็นมูลหนี้ 3 ล้านล้านบาท
”ปัญหาหนี้สินของบุคลากรของรัฐจำนวนมาก เป็นปัญหากระทบการดำรงชีวิตอย่างรุนแรงต่อเนื่อง ต้องได้รับการแก้ไขเร่งด่วน ซึ่งข้อสั่งการมีความคืบหน้าแล้วระดับหนึ่ง วันนี้จึงให้ผู้บริหารองค์กร 11 แห่ง รายงานต่อนายกฯ เพื่อทราบ และรับข้อสั่งการจากนายกฯต่อไป” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว
ด้าน พล.อ.อนุสรรค์ คุ้มอักษร รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) กล่าวว่า ในฐานะผู้บัญชาการเหล่าทัพ ขอสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ หนี้สินของข้าราขการทั้งหมด มีมากถึง 3 ล้านล้านบาท และเป็นสินเชื่อสวัสดิการ หักเป็นเงินเดือนเกือบถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น เป้าหมายสําคัญคือการช่วยเหลือกําลังพลที่กําลังเดือดร้อน โดยเฉพาะผู้ที่ยังเหลือเงินดํารงชีพไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน จากการถูกหักชําระหนี้ ทั้งจากสหกรณ์ และสถาบันการเงิน โดยภาระหนี้สิน อยู่ภายใต้เงื่อนไขการชําระที่เกินศักยภาพ
พล.อ.อนุสรรค์ กล่าวว่า กองทัพตระหนักดีว่า ปัญหาหนี้สินเป็นเรื่องเร่งด่วนของชาติ บทบาทที่เปลี่ยนไปคือ มิติในฐานะนายจ้างและผู้บังคับบัญชา ที่จะลุกขึ้นมายืนหยัดเพื่อผู้ใต้บังคับบัญชา โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ถือเป็นเกมเชนเจอร์ส เพราะนายจ้างจะเป็นผู้กําหนดทิศทางสินเชื่อสวัดดิการ เป็นการสร้างกระบวนการวงเงินเครดิตที่มีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เป็นธรรม และยั่งยืน
"เราจําเป็นต้องมีระเบียบกําหนดหลักเกณฑ์ในการหักเงินเดือน ให้มีคงเหลือในการดํารงชีพไม่ตํากว่าร้อยละ 30 เปอร์เซ็นต์ ตามแวทางเดียวกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ปี 51 อย่างไรก็ตาม จากสถิติพบว่า มีกําลังพลจํานวนมากที่มีเงินเหลือต่ำกว่า 3 พันบาทต่อเดือน ดังนั้น กองทัพจะดําเนินการโดยด่วน ซึ่งทางสภากลาโหมจะนําเข้าที่ประชุมต่อไป และหากสัมฤทธิ์ผล จะทําให้กําลังพลหลุดพ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว เกิน 1 แสนราย"
พล.อ.อนุสรรค์ กล่าวว่า ระเบียบดังกล่าว จะสร้างเกราะในการกู้ยืมเงินที่ถูกต้อง ภายใต้เงื่อนไขที่เป็นธรรม มีเสถียรภาพ เพื่อไม่ให้ข้าราชการไปกู้ยืมเงินนอกระบบ หรือใช้เงินกู้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงมาก ช่วยเพิ่มเงินในการดํารงชีพ และใช้จ่ายในครอบครัว ดังนั้น ตนจึงสนับสนุนมติ ครม. รวมถึงข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี เพราะการปรับปรุงสินเชื่อและสวัสดิการของข้าราชการ จะเกิดความเป็นธรรมและเหมาะสม ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนเห็นด้วย และพร้อมเสนอนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างเต็มกําลัง ทั้งในและนอกระบบด้าน พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า กระทรวงกลาโหม แบ่งการแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินเป็น 2 ด้าน คือ 1.นโยบาย และ 2.ข้อกฎหมาย โดยมีมาตรการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสหกรณ์ออมทรัพย์ต่ำกว่าสถาบันการเงิน การอบรม การประสานทำข้อตกลงกับสถาบันการเงินเพื่อแบ่งเบาภาระดอกเบี้ย การเจรจาประนอมหนี้ และทำโครงการเชิงนโยบายเพิ่มรายได้ ควบคู่กับการแก้ปัญหาหนี้สิน และการเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวทหารชั้นผู้น้อย
นอกจากแก้ปัญหาเชิงนโยบายแล้ว ยังมีเรื่องที่สำคัญอีกคือข้อกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.66 สภากลาโหมได้แก้มติที่เคยกำหนดให้ข้าราชการที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ล้มละลาย ต้องถูกปลดออกจากราชการทันที แก้เป็นจะปลดออกจากราชการกรณีหากมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลายทุจริตเท่านั้น เพื่อเป็นการรักษากำลังพลที่ปฏิบัติราชการด้วยความตั้งใจ
แต่อาจมีความผิดพลาดทางการเงินโดยมิได้ทุจริต ประกอบกับจะได้ไม่เป็นการซ้ำเติมบุคลากรที่ถูกศาลพิพากษาล้มลายด้วย ทั้งนี้ หัวใจสำคัญอีกส่วน คือ ผู้บังคับบัญชาต้องเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยด้วย ซึ่งกระทรวงกลาโหมยืนยันจะมุ่งมั่นแก้ปัญหาหนี้ตามนโยบายนายกฯต่อไป
ด้านพล.อ.สวราชย์ แสงผล หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา กองบัญชาการกองทัพบก กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการช่วยกำลังพลแก้ไขปัญหาหนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมให้ความรู้ด้านการเงินแก่กำลังพล แต่ก็ยังพบมีปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะผลอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงจากสถาบันการเงินต่างๆ ไม่สามารถทำให้กำลังพลปลดหนี้สินได้
กองทัพบกจึงขอให้รัฐบาลปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้กับสถาบันการเงินต่างๆเพื่อให้เหมาะสมและเป็นธรรม นอกจากนี้กำลังพลจำนวนหนึ่งมีหนี้สินค้างมาจาก กยศ. ตั้งแต่ก่อนเข้ามารับข้าราชการ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ที่ต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ 18 ส่งผลให้หนี้สินเพิ่มพูนจำนวนมาก และเรื้อรังเป็นระยะยาว จึงขอให้รัฐบาลใช้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดเหลือร้อยละ 0.5 เป็นไปตามกฏหมายที่เกี่ยวกับ กยศ.ฉบับใหม่
พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตำรวจ 2 แสนคน มีหนี้สิน 1.5 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 80 ของกำลังพลทั้งหมด รวมเป็นหนี้สินกว่า 170 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สีเขียวที่พอชำระได้ 1.4 แสนคน สีเหลืองผ่อนได้บ้างไม่ได้บ้างจำนวน 600 คน และสีแดงถูกฟ้องร้องไม่มีกำลังชำระหนี้ประมาณ 150 คน ซึ่งที่ผ่านมามีคนเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ 1 หมื่นกว่าคน และแก้ปัญหาหนี้สินได้แล้ว 7 พันกว่าคน รวมเป็นเงิน 10 กว่าล้านบาท เหลือประมาณ 140 กว่ารายที่ยังต้องดำเนินการอยู่ รวมมูลหนี้ 400 กว่าล้านบาท
ส่วนในอนาคตตำรวจจะให้ความรู้เพื่อไม่ให้มีหนี้รวมถึงแก้หนี้ เช่น เจรจากับสหกรณ์ตำรวจ 30 กว่าแห่งให้มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า 4.75 เป็นไปตามแนวทางที่รัฐบาลขอความร่วมมือไป
ขณะที่ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า บุคลากรของ สพฐ. มีจำนวน 4.5 แสนคน พบว่า เป็นหนี้ 4 แสนคน แบ่งเป็น สีแดง เหลือง และเขียว โดย รมว.ศึกษาธิการ และสพฐ. ได้จัดทำสถานีแก้หนี้ 245 เขตพื้นที่การศึกษา มีครูลงทะเบียนแก้หนี้รอบแรก 6,251 คน ดำเนินการแก้หนี้กลุ่มสีแดงที่ถูกฟ้องแล้ว 1,000 คน ซึ่งสพฐ.จะดำเนินการโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และหลังจากนี้จะพัฒนาให้ความรู้ทักษะด้านการเงินแก่บุคลากรด้วย ทั้งนี้ ปัญหาหนี้สินครูเป็นปัญหาที่สะสมมายาวนาน ต้องขอขอบคุณรัฐมนตรี ที่เอาใจใส่ ลดภาระครู เพื่อที่การศึกษาจะได้มีคุณภาพ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวภายหลังการรับฟังแถลงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้เงินกู้แก่บุคลากรของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ว่า ขอขอบคุณเกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง และชื่นชมในการตั้งใจทำงาน ส่วนตัวเชื่อว่า หลายคนอาจจะไม่ได้ประสบปัญหาเยอะแบบเดียวกับข้าราชการอีกหลายแสนคน ซึ่งข้าราชการเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติ แต่ยังมีหนี้สินชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำงานเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ดอกเบี้ย ถือเป็นสารตั้งต้นหายนะของประเทศ ต้องขอใช้คำนี้เพราะไม่ใช่แค่เพียงมีเงินไม่พอ แต่หันไปพึ่งสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฏหมายไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด เพื่อทำให้จิตใจดีขึ้น สบายใจขึ้นถือเป็นความเข้าใจผิด หรือไปทุจริตประพฤติมิชอบ เป็นสารตั้งต้นที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นการรวมตัวกันในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขกฎหมาย ว่าไม่ต้องออกจากราชการ มีเงินใช้ 30% รวมถึงสินเชื่อพิเศษ ลดดอกเบี้ย ซึ่งตนเข้าใจว่าหลายหน่วยงานต้อง หวังเรื่องการปันผลหรือผลกำไรแม้ว่าแบงค์ชาติจะไม่ลดแต่หน่วยงานช่วยกันลดก็ขอขอบคุณจากใจจริง และเชื่อว่าข้าราชการในหน่วยงานนั้นนั้นนั้นก็ขอบคุณเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียัง กล่าวว่า เข้าใจว่าแต่ละหน่วยงานก็มีเป้าหมายของตัวเอง การที่ต้องเฉือนเนื้อเพื่อลดกำไร ถือเป็นเรื่องที่ดี และขอฝากข้อคิด ว่าต้องการ ให้หน่วยงานสหกรณ์เข้ามาร่วมโครงการนี้ให้มากขึ้นและขอให้ทำงานหนักขึ้น เชื้อเชิญ ให้เข้ามาอยู่ในระบบให้มากขึ้นเพราะทุกวันนี้หนี้สินเหล่านี้ไม่ได้ลดลงไป แต่เชื่อว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้มีขีดจำกัดในการทำงานพอสมควรเพราะเป็นผู้บริหารระดับสูงจึงจะต้องหาวิธีการการแก้ปัญหา จึงขอให้ ทะเยอทะยานมากขึ้น พยายามช่วยเหลือประชาชนให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งก็เชื่อว่าผู้นำเหล่าทัพมีความใกล้ชิด และเข้าใจความลำบากของ ประชาชนอยู่แล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สันติผงาด‘น.1’ ‘ก.ตร.’ถกเดือด อาวุโสน้อยพรึ่บ
"นายกฯ อิ๊งค์" นั่งหัวโต๊ะประชุม ก.ตร. 20 พ.ย. แต่งตั้งรอง ผบ.ตร.-ผบช. กว่า 40 ตำแหน่ง จับตาถกเดือด!
นายกฯ ถึงไทย ‘บิ๊กต่าย’ เข้ารายงานปมร้อน จัดโผแต่งตั้ง รองผบ.ตร- ผบช. 20 พ.ย.นี้
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เข้ารายงานนายกฯถึงการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่10/2567 ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ เวลา 14.30 น.
‘บิ๊กต่าย’ นัด 19 พ.ย. ถกบอร์ดกลั่นกรอง ตรวจคุณสมบัติตั้งสีกากีล็อตแรก
ผบ.ตร ในฐานะประธานกรรมการฯ ได้กำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาแต่งตั้งตั้ง ข้าราชการดำรวจดำรงตำแหน่งระดับ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ รอง จดช. ลงมาถึง ผบช. และ จตร. วาระจำปี 2567
'ฟิล์ม-เจ๊พัช' ระทึก! 'ผบ.ตร.' ชี้ผิดจริง หมดสิทธิ์ลอยกระทง
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวการออกหมายเรียก หรือหมายจับ ฟิล์ม-นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์
ตร.รอคำสั่งศาล จ่อตั้งรองผบ.ตร. สอบวินัยบิ๊กโจ๊ก
“บิ๊กต่าย” ขอไม่ก้าวล่วงคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด แจงไม่ว่าคำวินิจฉัยจะเป็นอย่างไรพร้อมปฏิบัติตาม
ตำรวจแนะ 6 ข้อเพื่อให้ลอยกระทงปลอดภัย
ตร.เตือนลอยกระทงปลอดภัย แนะ 6 สิ่งต้องคำนึง ก่อนนึกถึงพระแม่คงคา