ละเอียดยิบ! เปิดหนังสือ 'ภาคภูมิ พิศมัย' ร้องนายกฯ ขอออกจากราชการ

19 ก.พ.2567 - พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รองผู้บังคับการ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 4 โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า "ขอต่อสู้แบบประชาชนคนหนึ่ง ที่มีสิทธิเรียกร้องขอความเป็นธรรม ไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ไปคุกคามใคร ข้าราชการไม่มีใครอยากออกจากราชการ 32 ปี ในชีวิตตำรวจวันนี้ขอต่อสู้แบบมือเปล่า เพื่อส่วนรวมและองค์กรตำรวจไม่ต้องได้รับผลกระทบ หนังสือฉบับบนี้ผมได้ยื่นตั้งแต่ 12 ก.พ. 2567 ไว้แล้วครับ"

โดย พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ได้ทำหนังสือยื่นร้อง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอความเป็นธรรมและสั่งให้ออกจากราชการ ลงวันที่ 12 ก.พ.2567 ณ ศูนย์ปฏิบัติการ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ถนนพระราม 9 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ได้ชี้แจงถึงรายละเอียดต่าง ๆ และเหตุผลในการยื่นหนังสือขอออกจากราชการในครั้งนี้โดยระบุว่า ตามที่ปรากฏข่าวตามสื่อมวลชนต่าง ๆ อันอาจทําให้สังคมเข้าใจได้ว่า มีความขัดแย้งภายในองค์กรของ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ระหว่างผู้บังคับบัญชาระดับสูง และหรือ เจ้าพนักงานตํารวจบางรายที่อาจส่อไปในทางปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งยังอยู่ระหว่างกระบวนการด้านการสืบหาข้อเท็จจริงตามระเบียบราชการ แต่ยังคงมีการปฏิบัติหน้าที่ในการนี้

กระผม พันตํารวจเอกภาคภูมิ พิศมัย รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตํารวจภูธรภาค 4 ซึ่งเป็น คณะทํางานชุดของ พลตํารวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และตามเหตุผลข้างต้น

หากมีการร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงอีกก็เกรงจะก่อให้เกิดความขัดแย้งตามที่เป็นข่าวอีก และอาจมีผลต่อการดําเนินการสืบหาข้อเท็จจริงในเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับการกล่าวหา จึงมีความจําเป็นร้องขอความเป็นธรรมมายังท่านในฐานะประธานกรรมการนโยบายตํารวจแห่งชาติ อันเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในสายงานตามระเบียบการปฏิบัติ ราชการ และมิได้มีส่วนได้เสียใด ๆ

ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินการในส่วนการพิจารณาข้อกล่าวหาใดต่อกระผมหรือบุคคลใด ที่อาจมีตามระเบียบราชการและส่งผลทางอาญา ต้องกระทําไปภายใต้ตามกฎหมายบัญญัติไว้โดยชอบ และหลักนิติธรรม

กล่าวคือ กระบวนการในชั้นสืบสวนสอบสวนต้องไม่มีการนําพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือปั้นแต่งพยานหลักฐานใด ๆ เพื่อที่จะมุ่งหวังดําเนินคดีกับบุคคลใด และต้องไม่มีการมุ่งหวังประโยชน์อันมิชอบทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะบุคคลที่มีอํานาจหน้าที่นั้น ๆ จะต้องเป็นผู้ปราศจากข้อขัดแย้งในงานหรือโดยส่วนตัว หรืออาจมี ความมุ่งหวังใดแอบแฝง เพื่อมีผลให้ร้ายต่อบุคคลต่าง ๆ โดยขัดต่อหลักนิติธรรม ๆ

กระผม เป็นข้าราชการผู้หนึ่งที่เชื่อว่า ตนได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง และเสียประโยชน์ของกลุ่ม บุคคลบางกลุ่มที่จะถูกดําเนินคดี อันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายของกระผมเพื่อให้ไม่สามารถดําเนินการทางคดีต่อไปได้

ท้ายสุด กระผมถูกตั้งเรื่องดําเนินคดี ตามสํานวนคดีอาญาที่ 468/ 2566 ของสถานีตํารวจภูธรทุ่งมหาเมฆ และสํานวนคดีอาญาที่ 724/2566 ของกองบังคับการตํารวจสืบสวนสอบสวน อาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่า เป็นผลมาจากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวหรือไม่ โดยกระผมพร้อมที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และสิทธิหน้าที่ในฐานะผู้ต้องหาตามที่กฎหมายบัญญัติรับรองสิทธิไว้ และพึงได้รับการปฏิบัติจากเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องภายใต้หลักกฎหมาย และหลักนิติธรรม

ประการที่หนึ่ง ด้วยปรากฏมีการสร้างข้อมูลว่า กระผมเข้าร่วมกลุ่มผู้กระทําความผิดการพนันออนไลน์ซึ่งไม่มีพยานหลักฐานใด ๆ ว่า กระผมมีพฤติการณ์แห่งคดีว่า เป็นตัวการ ผู้ใช้ ร่วมกันกระทําความผิดดังกล่าว

แต่กลับนําเพียงเอกสารข้อความที่ตรวจพบจากบุคคลในกลุ่มการพนันออนไลน์เพียงว่า "ค่าตํารวจ" มากล่าวหาดําเนินคดีกับกระผมซึ่งหากกลุ่มผู้กระทําความผิดการพนันออนไลน์มีการจ่ายเงินค่าตํารวจจริงแล้ว ตํารวจ ดังกล่าวย่อมจะต้องเป็นตํารวจผู้มีอํานาจรับผิดชอบคดีความผิดการพนันออนไลน์เท่านั้นที่จะสามารถคุ้มครองกลุ่มผู้กระทําความผิดกลุ่มนั้นได้ เฉกเช่นที่มีการดําเนินคดีนี้แต่กระผมกับพวกมิได้มีอํานาจหน้าที่รับผิดชอบดําเนินคดีแต่อย่างใด

จากจุดเริ่มต้นนี้เพียงจุดเดียว กลับกลายนําไปสู่การหาพยานหลักฐานซึ่งไม่เกี่ยวข้องใน คดีเพื่อขยายฐานความผิด โดยมีการใช้กฎหมายที่บิดเบี้ยวมาดําเนินคดีกับกระผมและพวกที่ปฏิบัติหน้าที่

ประการที่สอง กระผมมีข้อเคลือบแคลงว่า เหตุใดกลุ่มของเจ้าพนักงานตํารวจที่ทําการออกหมายจับหมายค้นต่อกระผม จึงได้ยื่นคําร้องขอออกหมายจับต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ และศาลอาญา ให้เชื่อว่า บุคคลผู้ ถูกขอออกหมายจับมิใช่เจ้าพนักงาน ทั้งที่การจะขอออกหมายจับเจ้าพนักงานซึ่งกล่าวอ้างว่า

ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น จะต้องดําเนินการร้องขอออกหมายจับต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางเท่านั้น แต่กลับมีการยื่นคําร้องโดยปิดบังยศตําแหน่งของผู้ถูกขอหมายจับต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ให้หลงเชื่อว่า บุคคลผู้ถูกขอออกหมายจับมิใช่เจ้าพนักงาน

ประการที่สาม มีการกล่าวอ้างถึงบัญชีการเงินของกลุ่มผู้กระทําความผิดดังกล่าว ซึ่งปรากฏว่า มิได้มีการเกี่ยวข้องกับกระผมแต่อย่างใด แต่กลับอ้างโดยใช้ความนึกคิดส่วนตน และอ้างว่า เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลว่า กระผมต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้ง ๆ ที่เรื่องการวิเคราะห์ทางการเงินเป็นเรื่องที่อยู่บนหลักพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ได้โดยง่าย มิใช่เป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยจิตนาการแต่อย่างใด

แต่กลับไปปรากฏตามสื่อต่าง ๆ ทํา ให้สังคมสับสน เข้าใจผิดว่า มีหลักฐานการเงินที่เกี่ยวข้องกับกระผม และกล่าวอ้างยอดเงินต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง ให้ ดูสับสน ปนกันไปมา ให้น่าเชื่อถือ เพราะหากมิได้มีการไล่เรียงบัญชีแต่ละรายการ ก็อาจทําให้บุคคลต่าง ๆ หลงเชื่อ ที่สําคัญยังมีการแก้ไขข้อมูลพยานหลักฐานสําคัญในคดี เพื่อจงใจใช้กล่าวหาว่า กระทําความผิด และ ให้ได้รับโทษหนักขึ้น

ประการที่สี่ มีการตั้งข้อกล่าวหาว่า กระผมกระทําความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินอีก ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานใด ๆ ว่า ผมมีส่วนร่วมในการกระทําความผิดฐานร่วมกันจัดเล่นการพนันออนไลน์แต่อย่างใดทั้งสิ้น และหรือว่า กระผมมีการนําเงินที่ได้มาจากการพนันออนไลน์ไปทําการใช้ หรือฟอกเงินตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ซึ่งล้วนแต่เป็นการสร้างจิตนาการ มากล่าวอ้างเกลื่อนกลืนตบตาสื่อมวลชนและสังคมให้เข้าใจผิด เป็นต้น

จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏบางส่วนเบื้องต้นเพื่อให้เป็นไปตามหลักปฏิบัติและสิทธิตามกฎหมาย ในฐานะผู้ต้องหาที่สามารถกระทําได้ เมื่อกระผมกับพวกเข้าใจว่า มิได้รับความเป็นธรรม จากเจ้าพนักงานตํารวจกลุ่มที่ดําเนินการต่อกระผมนี้ กระผมและพวก จึงได้ใช้สิทธิร้องขอความเป็นธรรมตามกฎหมายเป็นตามลําดับขั้นตอนซึ่งกฎหมายได้บัญญัติรับรองไว้ โดยได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติหลายครั้งเพื่อขอให้เปลี่ยนตัวพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้

เนื่องจากกระผมกับพวกเชื่อว่า อาจตกเป็นเหยื่อ และขัดขวาง ผลประโยชน์บุคคลใดที่เกี่ยวข้อง จากการที่กระผมกับพวกได้เป็นผู้สืบสวนสอบสวนในคดีสําคัญ เช่น กลุ่มทุนจีนสีเทา, คดีผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดชลบุรี เรียกรับเงิน 140 ล้านบาท และคดีกํานันนก เป็นต้น ซึ่งความขัดแย้งนั้น อาจเนื่องมาจากมีข้าราชการตํารวจชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้องจํานวนมาก

แต่ทั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดตามสายงาน คือ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติก็มิได้มีการพิจารณาเปลี่ยนตัวคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามที่ร้องขอแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสําคัญตามหลักนิติธรรมเพื่อให้การทําสํานวนคดีโดยโปร่งใส ปราศจากข้อสงสัย หรือการจงใจให้มีเหตุเชื่อว่า มีการกลั่นแกล้งบุคคลต่าง ๆ หรือต้องการสกัดมิให้มีการดําเนินคดีกับบุคคลที่เสียผลประโยชน์ และต้องถูกดําเนินคดีตามพยานหลักฐาน

ประการที่ห้า จากการที่กระผมไม่ได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการสืบสวนสอบสวนแล้วยังทราบข่าวจากพี่น้องเจ้าพนักงานตํารวจ เพื่อนฝูง และทางสื่อมวลชนมีการพูดคุยอีกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ภายในองค์กรและมีพนักงานอัยการมาร่วมให้คําปรึกษาด้วย

ขณะดังกล่าวยังไม่ทราบว่าเป็นพนักงานอัยการท่านใด จนเป็นที่มามีการแจ้งข้อหากระผมกับพวกเพิ่มเติมว่า กระทําความผิดฐานเรียก รับ ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ จากบุคคลอื่นอีก โดยที่ไม่ปรากฏหลักฐานใด ๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะหากพิจารณาเนื้อหาของหลักกฎหมาย

หากมีการแจ้งข้อหาว่า กระผมร่วมกันกระทําความผิดฐานจัดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์แล้ว ย่อมจะหมายถึงว่า บุคคลนั้นกระทําความผิดฐานดังกล่าวด้วยตนเองเท่านั้น จะไม่สามารถเป็นบุคคลที่เรียกหรือรับทรัพย์สิน หรือ แสวงหาประโยชน์ของตนเองได้อีก จึงนับว่า เป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมากในฐานะที่เป็นพนักงานสอบสวน

จากเหตุดังกล่าวเบื้องต้น ที่ได้รับการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ได้รับความเป็นธรรมในชั้นสอบสวน ยังไม่สิ้นความหวังในการแสวงหาความเป็นธรรมที่บริสุทธิ์ จึงใช้สิทธิในฐานะที่เป็นผู้ต้องหา

โดยเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ยื่นร้องขอความเป็นธรรมไปยังท่านอัยการสูงสุดเพื่อขอให้ทําการตรวจสอบการเข้าเป็นที่ปรึกษาคดีของพนักงานอัยการในประเด็นการไม่ได้รับความเป็นธรรมในการสอบสวน การแก้ไข พยานหลักฐานเพื่อปรักปรํา การแจ้งข้อกล่าวหาในลักษณะย้อนแย้ง ขัดกัน หรือคลือบคลุม ซึ่งอาจทําให้กระผมกับพวก หลงข้อต่อสู้อันเป็นการเอาเปรียบในเชิงคดี โดยขอให้ท่านอัยการสูงสุดได้โปรดตรวจสอบพนักงานอัยการที่เข้าเป็นที่ปรึกษาคดีโดยชอบหรือไม่ อย่างไร รวมถึงผู้ให้คําปรึกษาชอบที่จะศึกษาสํานวนการสอบสวนโดยละเอียด ก่อนให้คําปรึกษาเพราะเป็นสิ่งสําคัญที่ส่งผลต่อการสอบสวน หากให้คําปรึกษาไม่ถูกต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริง ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสํานวนการสอบสวน ย่อมส่งผลต่อความเที่ยงธรรมและความยุติธรรม

โดยก่อนส่งหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยังท่านอัยการสูงสุดนั้น กระผมไม่เคยทราบว่า พนักงาน อัยการท่านใดเป็นผู้มาให้คําปรึกษาสํานวนการสอบสวนนี้แต่อย่างใด จนกระทั่งทราบจากกลุ่มเพื่อนตํารวจมีการเผยแพร่ในกลุ่มเพื่อนตํารวจ เป็นภาพถ่ายบรรยากาศการต้อนรับพนักงานอัยการ 2 ท่านกับผู้บังคับบัญชาของตํารวจที่เดินทางมาประชุมคดีดังกล่าว ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2566 จึงได้ร้องขอความเป็นธรรมพร้อมกับแนบภาพถ่ายของพนักงานอัยการที่มาให้คําปรึกษาทั้งสองท่าน เพื่อเป็นการยืนยันว่า มีพนักงานอัยการมาเข้าร่วมให้คําปรึกษาจริงตามภาพและขอให้ทําการตรวจสอบการทําหน้าที่หน้าที่ของพนักงานอัยการทั้งสองท่าน

ภายหลังจากมีหนังสือร้องความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดแล้ว ปรากฏว่า ท่านกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ ดํารง เอกธนา ชูวงศ์ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ทํานองว่า กระผมกับพวกผู้ต้องหา ร้องเรียนได้แนบเอกสาร ภาพถ่าย มีลักษณะเป็นภาพถ่ายที่มีผู้เฝ้าติดตามและแอบถ่ายในขณะที่เดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ จึงให้คณะพนักงาน สืบสวนสอบสวนตรวจสอบและหาตัวบุคคลแอบถ่าย การที่กลุ่มผู้ร้องเรียนทั้งแปดใช้ภาพถ่ายดังกล่าว เป็นตําแหน่ง อธิบดีอัยการ สํานักงานการสอบสวน มีหนังสือเรียน หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน พลตํารวจ

พฤติการณ์ให้เห็นว่า ต้องการให้พนักงานอัยการที่ปฏิบัติหน้าที่ได้พบเห็นและรู้ว่า ถูกกลุ่มผู้ต้องหาเฝ้าติดตามการปฏิบัติหน้าที่รวมถึงการใช้ชีวิตประจําวันโดยตลอด เป็นการกระทําโดยมิชอบในเชิงการคุกคามข่มขู่ให้เกิดความกลัวว่า จะเกิดภยันตรายต่อชีวิตร่างกายของพนักงานอัยการซึ่งปฏิบัติหน้าที่ และอาจเป็นการเข้าข่ายการขัดขวางกระบวนการสืบสวนสอบสวนนั้น

กระผมขอประทานกราบเรียนข้อเท็จจริงในส่วนนี้เพื่อให้ความเป็นธรรมกับกระผม และขอกราบเรียน ยืนยันว่า กระผมกับพวกได้กระทําภายใต้สิทธิที่มีตามกฎหมายทั้งหมดของผู้ต้องหาโดยเฉพาะที่ผ่านมา กระผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า มีพนักงานอัยการมาร่วมทําการให้คําปรึกษาด้วย แต่มีเพื่อน พี่น้อง ที่รักความเป็นธรรมและติดตามการดําเนินการในเรื่องนี้อยู่ ได้แจ้งให้ทราบว่า เห็นมีพนักงานอัยการที่ออกสื่อมวลชนบ่อย ๆ สองท่านมาร่วมทําการสอบสวนด้วย ซึ่งเท่าที่ทราบตามหน้าข่าวทั่วไปว่า พนักงานอัยการทั้งสองท่านมีการออกสื่อมวลชนบ่อยครั้ง เป็นที่รู้จักกว้างขวางของสังคมซึ่งหากพิจารณาตามภาพถ่ายตามวัน เวลา สถานที่ และผู้ถ่าย จะเห็นได้ว่า เป็นภาพถ่ายในวันที่พนักงานอัยการทั้งสองท่าน เดินทางมาร่วมให้คําปรึกษากับพนักงานสอบสวน และเป็นภาพถ่ายบริเวณเชิงบันได ก่อนทางขึ้นซึ่งมีบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวหลายคนอยู่ด้วยกัน

ดังนั้น จึงเป็นสถานที่เปิด โล่งแจ้ง ในสถานที่ราชการ มิได้มีลักษณะเป็นการแอบถ่ายแต่อย่างใด โดยเฉพาะผู้ทําการถ่ายภาพก็เป็นบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของกองบังคับการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 ซึ่งเป็นสถานที่ทํางานประจําของบุคคลดังกล่าว จึงมิได้มีลักษณะที่เป็นการคุกคามแต่อย่างใด

อีกทั้งพนักงานอัยการ ทั้งสองท่านก็เป็นที่เคารพและทํางานคดีสําคัญ ๆ มาจํานวนมากตลอดระยะเวลารับราชการ มีทั้งภาพที่ถูกสื่อมวลชนถ่ายภาพไปลงที่เกี่ยวกับคดีจํานวนมาก ไม่มีทางที่พนักงานอัยการทั้งสองท่านจะหวั่นไหวในการทําคดีนี้แต่อย่างใด

ในทางตรงกันข้ามกระผมกับพวกยังรู้สึกมีความเชื่อมั่นในองค์กรของพนักงานอัยการที่จะมาร่วมให้ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม มิให้มีอคติในการดําเนินคดี และได้รับความเป็นธรรมที่หนักแน่นตามหลักนิติธรรม ให้เป็นที่พึ่งของกระผมกับพวกและแสดงให้เห็นว่า มีการทํางานตรงไปตรงมา ไม่สิ่งใดแอบแฝงให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม อาศัยเหตุและผลที่มีการได้รับการปฏิบัติต่าง ๆ เหล่านี้ กระผมจึงเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในฐานะที่เป็นผู้ต้องหาที่ผู้รับผิดชอบสํานวนตามขั้นตอนต่าง ๆ ต้องให้ความเป็นธรรม ปฏิบัติหน้าที่ไปตามกฎหมาย ไม่มีการจูงใจ ให้สังคมเข้าใจผิดต่อข้อเท็จจริง

กระผมเองกลับได้รับผลในทางตรงข้ามและข่าวสารที่ออกมาจากแหล่งข่าวในฝ่ายสอบสวนนั้น ทําให้สังคมหรือผู้ที่รับรู้จากเอกสารดังกล่าว รู้สึกว่า กระผมกับพวกมีพฤติการณ์ที่ไม่เคารพกฎหมาย ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ถูกมองในทางที่ไม่ดีว่า ใช้อํานาจหน้าที่ไปโดยไม่สุจริต ทําให้เกิด ภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อกระผมกับพวกและอาจกระทบต่อองค์กรตํารวจซึ่งกระผมขอเรียนว่า การร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าวเป็นการกระทําโดยส่วนตัว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้บังคับบัญชาหรือองค์กรตํารวจแต่อย่างใด

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระผมกับพวกได้ต่อสู้ทางคดี ตามพยานหลักฐานในกรอบของกฎหมายมาโดยตลอด ให้ความเคารพท่านอัยการ ศาล โดยเชื่อถือยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม หากแต่ได้รับการปฏิบัติในขั้นสืบสวนสอบสวนที่ไม่เป็นธรรมและมีอคติ โดยบิดเบือนให้ข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปตามที่กล่าวมาแล้ว และใช้กฎหมายในทางที่บิดเบี้ยว อาจทําให้สาธารณชนเข้าใจได้ว่า เพื่อจะนําไปเชื่อมโยงให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของกระผมหรือผู้บังคับบัญชาโดยเชื่อมโยงให้เข้าใจในลักษณะว่า การปฏิบัติหน้าที่ของกระผมและพวกมีความไม่เป็นธรรม หรือเพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้องโดยไม่สุจริต

จากข้อเท็จจริงและเหตุผลดังกล่าว กระผมจึงขอความเมตตาจากท่านนายกรัฐมนตรี โปรดสั่งการให้มี คณะกรรมการตรวจสอบการสืบสวนสอบสวนในคดีอาญาที่ 724/2566 ของกองบังคับการตํารวจสืบสวน สอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 และคดีอาญาที่ 391/2566 ของสถานีตํารวจนครบาลเตาปูน และหรือ คดีที่มีความเกี่ยวเนื่อง และแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง หรือมีส่วนได้เสีย มีความเป็นกลางมาสอบสวนดําเนินคดีเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเพื่อรักษาอํานาจการสอบสวนขององค์กรตํารวจ ภาพลักษณ์ของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ไม่ถูกนําไปบิดเบือนข้อเท็จจริง นําไปทําลายชื่อเสียงภาพลักษณ์ของผู้เกี่ยวข้อง

กระผมขอความกรุณาให้ท่านนายกรัฐมนตรีได้โปรดสั่งการให้กระผม "ออกจากราชการ" เพื่อที่กระผมจะได้ต่อสู้ เรียกร้องความเป็นธรรมในฐานะประชาชนธรรมดาที่จะใช้สิทธิทางกฎหมายรัฐธรรมนูญในฐานะของประชาชนที่ต้องหาคดีและสามารถต่อสู้คดีเสมือนประชาชนทั่วไป เพื่อไม่ให้บุคคลอื่นมีการบิดเบือน กล่าวอ้างว่า ใช้อํานาจในตําแหน่งหน้าที่โดยไม่สุจริตและเพื่อประโยชน์ในทางคดีของตน

ที่สําคัญเพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของสํานักงานตํารวจแห่งชาติเสียหาย ตลอดระยะเวลารับราชการกว่า 30 ปี กระผมตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกําลังความสามารถโดยตลอด รักและภูมิใจในอาชีพตํารวจ แต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรและส่วนรวม รวมถึงจะได้ต่อสู้คดีไปตามกระบวนการของกฎหมาย โดยไม่ต้องถูกครหาหรือถูกนําไปเป็นเครื่องมือใช้ ทําลายชื่อเสียงของบุคคลที่เกี่ยวข้อง

กระผมขอยืนยันว่า กระผมยังเคารพในกระบวนการยุติธรรมของท่าน อัยการ ศาล ไม่มีเจตนาล่วงเกินหรือเจตนาทําให้บุคคลใดหรือองค์กรใดได้รับความเสียหาย หากแต่เชื่อว่า กระบวนการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ สามารถทําได้ตามกระบวนการของกฎหมายและย่อมต้องสามารถตรวจสอบความถูกต้องโปร่งใสได้ในฐานะของประชาชนคนหนึ่งที่จะใช้สิทธิปกป้องและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมต่อไป

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แจ้งข้อหาเพิ่ม 'ทนายตั้ม' ปมเงิน 39 ล้าน หลังรวบคนสนิทร่วมฉ้อโกง-ฟอกเงิน

พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยถึงปมเงิน 39 ล้านบาทของ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ มาดามอ้อย แจ้งความดำเนินคดี ว่า ด้านตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน โดยวันที่ 11 พ.ย. 67

'ผบช.ก.' แถลงจับหมอดูชื่อดัง 'ตี่ลี่ฮวงจุ้ย' แจ้ง 2 ข้อหาหนัก

'บิ๊กก้อง' แถลงจับ 'หมอดูตี่ลี่ฮวงจุ้ย' ตุ๋นเหยื่อซื้อวัตถุมงคลแก้เคล็ดกว่า 108 ล้าน เอาไปเล่นพนัน แจ้ง 2 ข้อหา 'ฉ้อโกง-ฟอกเงิน' พร้อมยึดรถหรู 2 คัน

คุมตัว 'ทนายตั้ม-เมีย' ฝากขังศาลอาญา คัดค้านประกันตัว

ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ทำการเบิกตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา มาสอบปากคำเพิ่มเติมเมื่อช่วงเช้า กระทั่งเวลา 13.30 น.พนักงานสอบสวน ได้นำตัว ทนายษิทรา พร้อมภรรยา ไปฝากขังที่ศาลอาญา ถนนรัชดา

ผู้ช่วย ผบ.ตร. เผย 'ทนายตั้ม' เตรียมหนีออกนอกประเทศ ประสานตร.ทางหลวงสกัดจับ

พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงการจับกุม ทนายตั้มและภรรยา ว่าคดีดังกล่าว ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำชับให้ตนเข้ามาดูแล

คุมตัว 'ทนายตั้ม-เมีย' ถึงกองปราบ-คัดค้านการประกันตัว

ที่กองบังคับการปราบปราม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ผู้ต้อง

'ทนายตั้ม' อ่วมหนัก! 'อัจฉริยะ' แฉวิ่งอัยการได้ จ่อเปิดคดีที่ 5 รอเจ๊อ้อยไฟเขียว

นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีตำรวจออกหมายจับประเด็นที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม หลอกลวงนางจตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย