เตือนแล้วนะ!  กรรมการศึกษาดิจิทัลวอลเล็ต ป.ป.ช. ชี้รัฐบาลเดินหน้าเสี่ยงทุจริต ซ้ำรอยจำนำข้าว

กรรมการศึกษาดิจิทัลวอลเล็ต... เตือนรัฐบาลถ้ายังเดินหน้าเสี่ยงทุจริตหากไม่เลิกอาจโดนชี้มูลดำเนินคดีชี้อาจซ้ำรอยจำนำข้าว! ย้ำไทยไม่เข้าขั้นวิกฤตเศรษฐกิจแบบเฉียบพลันรุนแรงถึงขั้นต้องออกกฎหมายกู้เงินห้าแสนล้านบาท

 21 ม.ค. 2567 –  หลังมีการเผยแพร่เอกสาร ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ที่ศึกษาโดย คณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณี การเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ที่มีน.ส.สุภา ปิยะจิตติ อดีตกรรมการป.ป.ช.เป็นประธานคณะกรรมการฯ ที่ทำให้เกิดกระแสความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ ตามมามากมาย

รศ.ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ ในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลดิจิทัลวอลเล็ตของสำนักงาน ป.ป.ช. ที่มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ อดีตกรรมการป.ป.ช.เป็นประธาน กล่าวว่า เอกสารรายงานดังกล่าวเป็นของจริงที่ได้มีการพิจารณาในที่ประชุมใหญ่ป.ป.ช.แล้ว และขณะนี้คณะกรรมการถือว่าทำงานเสร็จสิ้นเรียบร้อย  แต่หากต่อมา รัฐบาลมีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การที่จะออกกฎหมายกู้เงินห้าแสนล้านบาทมาทำดิจิทัลวอลเล็ต ทางกรรมการก็อาจจะเรียกประชุมอีกครั้งเพื่อคุยกันว่า จะต้องมีการศึกษาอะไรอีกหรือไม่   

ดร.สิริลักษณา อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตจำนำข้าวของสำนักงานป.ป.ช. กล่าวว่า สิ่งสำคัญในการพิจารณาเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตของคณะกรรมการของสำนักงานป.ป.ช. ก็คือ ต้องพิจารณาก่อนว่า ขณะนี้สภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยเข้าขั้นวิกฤตที่จะออกกฎหมายกู้เงินหลายแสนล้านบาทมาแจกประชาชน ตามมาตรา 53 ของพรบ.วินัยการเงินการคลังฯหรือไม่ ซึ่งจากการพิจารณา หลังคณะกรรมการฯ เชิญตัวแทนจากหลายหน่วยงานมาให้ข้อมูลเช่นธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ ทางคณะกรรมการเห็นว่า ประเทศไทยยังไม่อยู่ในสภาพวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงและเฉียบพลัน โดยใช้เกณฑ์พิจารณา 7 เรื่องสำคัญตามหลักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์คือ วิกฤตสถาบันการเงิน-ความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินสำรองระหว่างประเทศ –สภาวะค่าเงินบาท–วิกฤตหนี้กับต่างประเทศและหนี้ เอ็นพีแอล-ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศหรือจีดีพี -สถานะการคลังของรัฐบาล -สภวะเงินเฟ้อ โดยจากข้อมูลตัวเลขทั้งหมด ก็พบว่า สำหรับประเทศไทยยังไม่อยู่ในภาวะวิกฤต  

“ดังนั้นถ้ารัฐบาลจะออกกฎหมายโดยให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินห้าแสนล้านบาท แล้วไปดึงเงินออกมาจากกระทรวงการคลัง จึงทำไม่ได้ หากประเทศไม่ได้อยู่ในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ถือว่าไม่เข้าข่ายมาตรา 53 ของพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐฯและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกหลายมาตรา”กรรมการศึกษาดิจิทัลวอลเล็ตของสำนักงานป.ป.ช.ระบุ

เมื่อถามว่าท่าทีของนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ล่าสุดหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศเมื่อ 19 ม.ค.ยืนยันรัฐบาลจะเดินหน้านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตต่อไป โดย ดร.สิริลักษณา กล่าวว่า หากรัฐบาลจะเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต ที่เป็นการแจกเงินเพื่อการบริโภคซึ่งจากลักษณะที่จะทำ และยังคงเดินตามเกณฑ์เดิมเช่นจะให้กับคนที่มีรายได้มีเงินเดือนไม่ถึงเจ็ดหมื่นบาทต่อเดือน สมมุติว่ารัฐบาลยังคงยืนยันตามนี้ มันจะทำให้เกิดความเสี่ยงหลายด้านด้วยกัน ด้านแรกก็คือการที่จะออกกฎหมายกู้เงินมา ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยในบางคดีก่อนหน้านี้ว่า หากมีการออกฎหมายพิเศษกู้เงินมา เงินที่กู้มา ต้องส่งให้กระทรวงการคลัง เมื่องบที่จะทำดิจิทัลวอลเล็ต ไม่ได้อยู่ในพรบ.งบประมาณรายจ่ายปกติ  การจะออกฎหมายพิเศษมากู้เงิน ซึ่งตามพรบ.วินัยการเงินการคลังฯ บอกว่า จะต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน เพื่อแก้ไขวิกฤตของประเทศ แต่เมื่อดูสภาพเศรษฐกิจของประเทศเวลานี้โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์ต่างๆ เช่น เรื่องเงินเฟ้อ สภาวะการคลังของประเทศ ก็จะพบว่าไม่มีเกณฑ์ข้อใดที่บอกว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะวิกฤต เพราะฉะนั้น ถ้ารัฐบาลจะเดินหน้าเรื่องนี้ ด้วยการออกกฎหมาย มันก็จะขัดกับพรบ.วินัยการเงินการคลังฯ ที่จะนำเงินคลังออกมาใช้

กรรมการศึกษานโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ของป.ป.ช.กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องทุจริตเชิงนโยบาย หากเป็นไปตามที่รัฐบาลตั้งใจไว้แบบเดิมในการทำดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะใช้ระบบ บล็อกเชน ซึ่งระบบดังกล่าว ธนาคารต่างๆ ก็ยังไม่มีการใช้กัน ดังนั้น ก็ต้องมีการไปจ้าง ก็ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพในการใช้เงินแล้วเพราะต้องนำงบประมาณไปว่าจ้างบริษัทที่มีความสามารถสูงเข้ามาทำ แทนที่จะโอนเงินให้ประชาชนโดยตรง และมันก็มีข้อสงสัยว่าบริษัทที่จะเข้ามาเป็นใคร จะเป็นการทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่ ที่จะให้ใครที่มีเทคโนโลยีสูงดังกล่าว ได้ประโยชน์จากนโยบายนี้มารับจ้างงานไปทำ ที่อาจใช้งบประมาณในการว่างจ้างจำนวนมาก ที่หากทำ ก็ต้องไปดึงงบจากที่ตั้งไว้ว่าจะช่วยเหลือประชาชน อันนี้ก็เป็นความเสี่ยงอันหนึ่งเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ถามไป รัฐบาลก็ไม่ให้คำตอบ ไม่มีความชัดเจนใดๆ คณะทำงานถามเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลัง เขาก็บอกว่าเรื่องยังมาไม่ถึง 

อันนี้ก็เป็นความเสี่ยง และยังกรณีเมื่อจะมีการโอนเงินเข้าบัญชี ต้องดูว่าจะเกิดกรณีแบบมี”บัญชีม้า”หรือมีการเจรจาบางอยางเกิดขึ้นหรือไม่ เช่น พอรัฐบาลจะทำนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว แต่ระหว่างการรอการโอนเข้าบัญชีประชาชน อาจมีบางคนที่มีคุณสมบัติเข้าตามหลักเกณฑ์ แต่เขาอยากได้เงินไปใช้ก่อน ก็อาจมีพวกกลุ่มคนที่เป็นพวกนายหน้า คอยไปติดต่อคนที่อยากได้เงินไปใช้ก่อนที่รัฐบาลจะโอน โดยมีการเจรจากันเช่น หนึ่งหมื่นบาท คนไปติดต่อบอกว่า จะให้เงินไปก่อนเจ็ดพันบาท แล้วพอได้เงินมา ก็นำเงินทั้งหมดหนึ่งหมื่นบาทมาใช้คืน ตรงนี้ก็มีความเสี่ยงเยอะ ก็เหมือนกับสมัยโครงการรับจำนำข้าว ที่เคยเป็นอนุกรรมการไต่สวนรับจำนำข้าวของป.ป.ช.มาก่อน ก็เจอประเภทโกงด้วยวิธีการเวียนเทียนข้าวกันเพื่อจำนำซ้ำ    ดิจิทัลวอลเล็ต จึงมีความเสี่ยงในหลายด้านในการบริหารจัดการ ที่วิธีการบางอย่าง คนที่สุจริต จะนึกไม่ออก แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะเห็น

“หากต้องใช้ระบบบล็อกเชน ซึ่งหากจะใช้เทคโนโลยีขนาดนั้น ก็ต้องมีการไปว่าจ้าง ผู้มีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีดังกล่าว ที่ก็อาจจะเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกัน อาจเป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์หรือคนที่ให้ผลประโยชน์กับบุคคลในรัฐบาล ซึ่งตรงนี้ก็เป็นความเสี่ยงที่จะถูกคณะกรรมการป.ป.ช.สอบสวน และอาจถูกชี้มูล ก็อาจเป็นไปได้”อดีตอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตจำนำข้าวของป.ป.ช.ระบุ   

อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า ดิจิทัลวอลเล็ต ที่เป็นการแจกเงินเพื่อให้ไปใช้ในการบริโภค เป็นการดำเนินการที่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ควรใช้เงิน ไปกับการลงทุนโดยภาครัฐ ที่จะทำให้จีดีพีขยายตัวมากกว่าที่จะให้เงินครัวเรือนนำไปใช้ เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่า จีดีพีขยายตัวมากกว่าโดยที่รัฐบาลเป็นผู้ใช้จ่ายในการลงทุน ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะหากรัฐบาลลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส กลุ่มคนที่อยู่ในชนบทในพื้นที่ห่างไกล จะเป็นประโยชน์กับคนที่ขาดโอกาสจริงๆ

“ดังนั้น การที่จะเดินหน้านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ก็มีความเสี่ยงหลายด้านด้วยกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจที่ทำแล้วจะไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เป็นธรรม รัฐธรรมนูญ กำหนดให้รัฐบาลดูแลประชาชนอย่างเป็นธรรม แต่การแจกเงินลักษณะแบบที่จะทำ ไม่มีความเป็นธรรม เพราะบางคนแม้อาจจะมีเงินเดือนไม่ถึงเจ็ดหมื่นบาท ทำให้จะได้รับสิทธิ์ดิจิทัลวอลเล็ต  แต่เขาอาจจะมีทรัพย์สินอื่นๆ เช่น ที่ดิน มีสินทรัพย์จำนวนมากกว่าคนที่มีเงินเดือนเจ็ดหมื่น แล้วรัฐบาลจะตรวจสอบตรงนี้ได้อย่างไร หากไม่มีการตรวจสอบแล้วให้เงินกับคนเหล่านี้ไป ก็มีความไม่เป็นธรรมอีกเช่นกัน”รศ.ดร.สิริลักษณากล่าว

ถามถึงกรณีเคยเป็นอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตรับจำนำข้าว ของป.ป.ช.มาก่อน คิดว่าหากรัฐบาลเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต เกรงไหมว่ามันอาจจะซ้ำรอยรับจำนำข้าวได้ ดร.สิริลักษณา กล่าวว่า อันนี้ ก็แล้วแต่เหตุการณ์ แต่ก็คิดว่ามันมีความเป็นไปได้ ก็มีความเป็นไปได้ คือมันต้องมีการพิสูจน์หลายๆอย่าง ว่าคนที่ได้รับประโยชน์เป็นใคร อะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็คิดว่ามันมีความเสี่ยง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเกิด แต่มีความเสี่ยง 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'นักเศรษฐศาสตร์' ชำแหละนโยบายเศรษฐกิจ 'เพื่อไทย' ล้มเหลว เละเทะ ไม่เป็นท่า

รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ นโยบายเศรษฐกิจของเพื่อไทยที่ล้มเหลว มีเนื้อหาดังนี้

ครม.ไฟเขียวแจกเงินหมื่น เฟส 2 ผู้สูงอายุ ม.ค.68 ส่วนเฟส 3 รอความชัดเจนกลางปีหน้า

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความชัดเจนในโครงการแจกเงิน 1หมื่นบาท เฟสที่ 3 ว่า ในไตรมาส 2 ของปี 2568 ก็คิดว่าน่าจะได้ความชัดเจนตรงนี้

นายกฯ ยิ้มรับถูกถามศาลรธน. ตีตกคำร้องดิจิทัลวอลเล็ต ย้อนถามสื่อต้องหน้าบึ้งเหรอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจเป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการติดตามเร่งรัดการบำบัดรักษา ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ 2/2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)

'เผ่าภูมิ' เผย 'แจกเงินหมื่น เฟส 2' เข้าครม. 24 ธ.ค.นี้ ทันไทม์ไลน์ก่อนตรุษจีนปีหน้า

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่มีวาระการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาทในระยะที่ 2  ที่จะแจกให้ผู้สูงอายุ 4 ล้านคน โดยคาดว่าจะเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในวันที่ 24 ธ.ค.

'แจกเงินหมื่น' เฟส 3 ไม่ใช้แอปเป๋าตัง กำลังจัดซื้อจัดจ้างพัฒนาระบบ คาดเสร็จ มี.ค.68

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำแอปพลิเคชันที่ใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เงิน 10,000 บาท เฟส 3 หลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกมนตรี