ไม่เข็ดหลาบก็ตามสบาย 'จตุพร' ท้าพิสูจน์นช.ทักษิณ ถ้าป่วยจริงมีอะไรน่าอับอาย-เป็นความลับ

จตุพร ทักษิณ23 ธ.ค.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ โดยเรียกร้องให้นักโทษทักษิณ ชินวัตร จบสิ้นความสงสัยของประชาชนด้วยการกล้าให้พิสูจน์ความจริงกับอาการป่วยที่รักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจมานานต่อเนื่องกว่า 120 วันแล้ว

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าไม่ยึดหลักความจริงย่อมจะก่อปัญหาตามมามากมาย ยิ่งนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.ปชป.ระบุ ระบุถึง พล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ นายแพทย์ (สบ.7) รพ.ตำรวจ ยืนยันกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลเสียทั้งหมดมาหลายปีแล้ว แม้ตนไม่ได้ฟังด้วยตัวเอง แต่การยืนยันนั้นไม่เกินความคาดหมายและไม่แน่ใจว่ากล้องของราชทัณฑ์ จะเป็นอย่างไร

"ทั้งหมดเป็นการสร้างอารมณ์ความรู้สึกประชาชนเกิดความไม่สบายใจ แม้อ้างว่า มีกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2560 ออกกฎกระทรวงปี 2563 แล้วมาประกาศระเบียบราชทัณฑ์ปี 2566 ซึ่งอดีต รมว.ยุติธรรม (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ ปัจจุบัน) ยืนยันว่า นักโทษทักษิณ เข้าคุณสมบัติทุกข้อ"

นายจตุพร กล่าวว่า บัดนี้นักโทษรักษาอาการป่วยที่ รพ.ตำรวจ นานกว่า 120 วันที่ ทางกรมราชทัณฑ์ ต้องรายงานมายัง พ.ต.ต.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เพื่อรับทราบ ดังนั้น เมื่อบ้านเมืองอยู่กันแบบนี้คงต้องหาหมอที่มีความกล้าเซ็นรับรองอาการป่วยของทักษิณได้อย่างแน่นอน แต่ขาดความน่าเชื่อถือ

"ถ้าเป็นความจริงต้องกล้าให้พิสูจน์ทุกขั้นตอน เพราะการตั้งท่าให้เกิดความสงสัยจะเป็นผลเสียกับทักษิณเอง อีกอย่างถ้า รพ.ตำรวจกับราชทัณฑ์ และกระทรวงยุติธรรมปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมา ต้องกวักมือเรียกให้คณะกรรมาธิการตำรวจ (กมธ.ตำรวจ) เข้ามาตรวจสอบอย่างเร็วรีบเพื่อให้สิ้นสงสัย โดยไม่ต้องรอให้ถึงกำหนดวันประกาศจะไปตรวจสอบวันที่ 12 ม.ค. 2567 เลย"

อีกทั้ง กล่าวว่า การอ้าง พรบ.สุขภาพของผู้ป่วยนั้น ต้องเป็นคนละกรณีกับคนที่ไม่สงสัยในอาการป่วย เพราะทักษิณ แม้เป็นคนป่วยตามคำกล่าวอ้าง แต่เป็นคนสาธารณะและต้องคำพิพากษาจำคุก 8 ปี แล้วได้รับพระราชทานลดโทษเหลือ 1 ปี แล้วฎีกาของพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายนั้น ยังยอมรับกับพระเจ้าแผ่นดินในการกระทำความผิดจริงจึงได้รับการลดโทษให้เพราะได้สำนึกผิด

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติปกติของนักโทษที่ราชทัณฑ์กำหนดไว้ เมื่อรักษาอาการป่วยที่ รพ.ตำรวจแล้ว ต้องกลับ รพ.ราชทัณฑ์ เมื่อเป็นปกติต้องเข้าเรือนจำพิเศษ หากเป็นไปตามเช่นนี้ประชาชนคงไม่ทักท้วงและสงสัยทักษิณเลย แต่ขณะนี้ประชาชนกลับไม่ได้เห็นภาพปฎิบัติตามระเบียบดังกล่าวมานั้น

สิ่งสำคัญ จริงอยู่นักโทษสามารถมารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจได้ แต่ในอดีตไม่ได้เข้ารับการรักษาตามแบบอย่างที่ทักษิณกระทำอยู่ในขณะนี้ เพราะนักโทษทั่วไปกว่า 3 แสนคนติดคุกอยู่ในเรือนจำ ส่วนทักษิณ ไม่ได้ติดคุกสักวันเดียว ดังนั้น นักโทษทั่วไปที่อยู่ในคุกก็เป็นคนเหมือนกัน ควรได้รับการปฏิบัติเช่นทักษิณ กระทำอยู่ได้อย่างเดียวกัน

นายจตุพร กล่าวว่า การอ้างถึงความเครียด มีความดันสูง หัวใจเต้นผิดปกติ กินไม่ได้ ล้วนเป็นเรืองปกติของคนติดคุก แต่การไปอยู่ รพ.ตำรวจ ตั้งแต่วันแรกที่กลับไทย (22 ส.ค.) จึงทำให้เกิดความสงสัยกับการอ้างอาการป่วยฉับพลันจนต้องส่งตัวมา รพ.ตำรวจ เร่งด่วนแล้วอยู่ต่อเนื่องมาถึง 120 วัน เสียงคลางแคลงใจของสังคมจึงเริ่มดังและลุกลามความไม่พอใจเป็นวงกว้างขึ้น

อีกทั้งย้ำว่า รพ.ตำรวจอ้างกล้องเสีย สิ่งที่เป็นปัญหาคือ ในสถานที่ควบคุมนักโทษคนสำคัญจะไม่มีกล้องได้อย่างไร เพราะต้องดูแลรักษาความปลอดภัย นอกจากนี้ตามระเบียบเรือนจำแล้ว เมื่อนำนักโทษมารักษาภายนอกเรือนจำต้องมีผู้คุม 4 คนต่อนักโทษ 1 ราย ซึ่งหากไม่มีกล้องแล้วจะควบคุมนักโทษตลอดเวลาได้อย่างไรกัน

อย่างไรก็ตาม ทักษิณจะกล้าหรือไม่ก็ตามที่จะใช้ระเบียบราชทัณฑ์ไปถูกคุมตัวที่บ้าน แทนที่จะคุมตัวที่เรือนจำ อีกอย่างจะมีนักโทษกล้าใช้สิทธิตามระเบียบหรือไม่ แต่วันนี้กองเชียร์เพื่อไทยกำลังปั่นว่า ประชาชนไม่เหลือราคา หมดสภาพ ไร้พลังคัดค้านแล้ว โดยคิดไม่แตกต่างจากเมื่อครั้งจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยเพื่อเว้นความผิดในคดีทุจริตคอร์รัปชันเมื่อปลายปี 2556

“ถ้าอยากจะทดสอบ ไม่เข็ดหลาบกัน ก็ว่ากันตามสบาย เมื่อราชทัณฑ์ รพ.ตำรวจก็มีเดิมพันหน้าที่กันแล้ว สิ่งสำคัญการจะให้เรื่องนี้จบได้ ต้องมีการพิสูจน์อาการป่วย เพราะคนไทยไม่ใจไม้ใส้ระกำถ้าป่วยจริงจะอยู่โรงพยาบาลกี่วันย่อมได้ แต่การป่วยมีอะไรน่าอับอาย มีอะไรเป็นความลับ และที่เก็บความลับไว้นั้นยิ่งจะเป็นผลเสียกับใครที่สุด ก็คือทักษิณและรัฐบาล”

พร้อมทั้งเสนอว่า เรื่องนี้จะจบอย่างง่ายๆ ต้องให้พิสูจน์ โดยอาจตั้งผู้มีความรู้ความสามรถของสังคมเข้าไปตรวจสอบ ดูภาพจากกล้องของเรือนจำ แต่ รพ.ตำรวจกลับอ้างกล้องเสีย มันบังเอิญไปหรือไม่ที่หน่วยงานตั้งอยู่ที่ราชประสงค์กลางใจเมือง แต่กล้องวงจรปิดเสีย ฟังขึ้นหรือไม่ ดังนั้น อย่าคิดว่าประชาชนโง่ เรื่องนี้ถ้าจัดการไม่ดีแล้ว มันจะลุกลามชนิดเอากันไม่อยู่ อย่างที่บอก คนเราเมื่อเหลิงแล้วก็คิดอะไรกันไปได้

สิ่งสำคัญคือ กองเชียร์ควรช่วยกันทำความจริงให้ปรากฎ ที่ผ่านมาเราสู้กับสองมาตรฐาน ชิงชังเรื่องความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในชาติบ้านเมือง แล้วประชาชนมากมายออกมาต่อสู้และบาดเจ็บล้มตาย ครอบครัวพินาศย่อยยับ เพราะไม่ต้องการให้สองมาตรฐานเกิดขึ้น ส่วนวันนี้ยังมีความพยายามใช้กฎหมายมาปิดปากอีก

“โดยหลักสำคัญนั้น แนวทางต้องเหนือกว่าตัวบุคคล ยิ่งถ้าตัวบุคคลมีการกระทำเข้าข่ายสองมาตรฐานแล้ว เราจะยอมรับกันได้เหรอ เมื่อกับคนอื่นยังยอมรับไม่ได้ แล้วมาเกิดกับกรณีคนที่เราเชื่อมั่น แต่มีการกระทำเข้าข่ายสองมาตรฐาน ดังนั้น จึงถามว่า ยังมีหลักการอยู่หรือเปล่า”

นายจตุพร แนะนำว่า ควรมองปัญหาอย่างมีสติ แม้การมองแบบโกรธกันตนไม่มีปัญหา และไม่มีความรู้สึกใดๆ เป็นการส่วนตัว แต่ชนวนไม่ได้จบลงแค่นี้ ถ้าวันหนึ่งคนไทยเห็นพฤติกรรมเหลิงที่มากไป โดยไม่ยอมติดคุกสักวันเดียว หากประชาชนลุกฮือขึ้นรัฐบาลก็เอาไม่อยู่ ซึ่งตนไม่อยากให้จบลงแบบการยึดอำนาจเมื่อ 22 พ.ค. 2557

อีกทั้งเชื่อว่า การรักษาอาการป่วยชั้น 14 ถ้าเป็นเรื่องจริง รพ.ตำรวจและราชทัณฑ์ ต้องกล้าให้พิสูจน์ ซึ่งจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย แต่เมื่อนักโทษมารักษาตัวกว่า 120 วัน แต่กล้องเสีย เกินเวลาตามระเบียบราชทัณฑ์กำหนดไว้ ย่อมเป็นปัญหาสำคัญแล้ว

รวมทั้ง กล้องคือสิ่งที่จะบันทึกรายละเอียดความจริงทั้งหมด หากคิดเล่นเป็นเกมจะเกิดปัญหาสงสัยเพิ่มมากขึ้นไม่มีสิ้นสุด และอะไรก็ตามที่ย้อนแย้งความสงสัยของสังคมจะไม่จบลงง่ายๆ แน่นอน

นายจตุพร เชื่อว่า หลังปีใหม่แล้ว เรื่องของทักษิณ ชั้น 14 จะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก และคาดว่าทักษิณกำลังลังเลระหว่างจะตัดสินใจอาศัยประโยชน์จากระเบียบราชทัณฑ์ไปคุมขังที่บ้านหรือไม่ กับเลือกที่จะอยู่ รพ.ตำรวจต่อไปเพราะคาดการณ์คงจะมีปัญหาเบากว่าการไปอยู่บ้านหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ข้าราชการที่เอื้อกรณีทักษิณนั้น เมื่อมีเดิมพันอนาคต ก็ต้องกล้าแลกคุกตะรางกัน แต่อีกวิธีที่ช่วยทุกฝ่ายได้คือความจริงด้วยการเดินไปรับโทษอย่างที่พึงจะเป็นตามหลักกระบวนการยุติธรรมที่มีมาตรฐานเดียวกัน

แต่การบีบกดให้ประชาชนที่สงสัยใช้ช่องทางกฎหมายพิสูจน์ความจริง จะยิ่งไปเปิดประตูให้ถูกรื้อค้นหลักฐานตั้งแต่ภาพบันทึกจากกล้องในส่วนต่างๆออกมาให้ปรากฎ ซึ่งจะเป็นปัญหาซ้ำเติมให้ยากลำบากไปอีก โดยความจริงที่ถูกเปิดเผยจะนำพาให้ล้มระเนระนาดกันไปหมด

“เมื่อทักษิณเข้าข่ายตามระเบียบราชทัณฑ์แล้ว จะกล้าใช้หรือไม่ ผมท้าทายเลยว่า ถ้าจะเลือกเส้นทางนี้ก็วัดกัน โดยไม่คิดอ่านจะชุมนุมเลย แต่ผมจะดูอีกครั้งว่า คนไทยที่รักความยุติธรรมทั้งหลาย มีความชิงชังต่อสองมาตรฐาน ชิงชังกับคำว่าอภิสิทธิ์ชนกับการไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมทั้งที่ยอมรับความผิดแล้ว รวมทั้งคนไทยจะใช้ความอดทนขนาดไหน เราจะเป็นประเทศที่มีอนาคตหรือไม่ โดยประเทศที่มีอนาคตนั้น กระบวนการยุติธรรมต้องศักดิ์สิทธิ์ หากกระบวนการยุติธรรมถูกย่ำยีแล้วจะมีกระบวนการยุติธรรมอย่างไรกัน”

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าทักษิณไม่ยอมรับการทำความผิดและต้องคำพิพากษาแล้ว จะมายื่นของพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายทำไม แล้วยังยอมรับความผิดกันไม่ได้ ดังนั้นการยอมรับความผิดถือว่าปิดปากตัวเองทุกขั้นตอนแล้ว เมื่อยอมรับความผิด เป็นนักโทษต้องติดคุกแต่ไม่ปฏิบัติตามโทษนั้น

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'จตุพร' ปลอบและปลุก อดทนเฝ้าคอยยังมีอีกหลายยก!

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ยอมรับว่า ประเมินสถานการณ์ศาล รธน.รับคำร้องคลาดเคลื่อน แม้ถูกเย้ยหยันหน้าแตก แต่ถัดจากนี้ไปขอให้ประชาชนอดทนเฝ้ารอสถานการณ์

อดีตสว.วันชัย สะใจ! โพสต์สมน้ำหน้า นักร้องถูกตบกระบาลหน้าคว่ำ หมอไม่รับเย็บ

นายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา(สว.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า สมน้ำหน้า นักร้องถูกตบกระบาลหน้าคว่ำ หมอไม่รับเย็บ....