'อดีตผู้พิพากษา' ชี้โทษจำคุกไร้ความหมาย หลังราชทัณฑ์ออกระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ

13 ธ.ค.2566 - นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา แสดงความคิดเห็นต่อกรณีระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 โดยสาระสำคัญของระเบียบฉบับนี้เป็นการกำหนดสถานที่คุมขังอื่นที่มิใช่เรือนจำ

โดยนายชูชาติ ศรีแสง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng มีใจความสรุปว่า ขณะนี้กรมราชทัณฑ์ได้ออกระเบียบกำหนดให้กรมราชทัณฑ์มีอำนาจส่งตัวจำเลยที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกไปคุมขังในสถานที่อื่นๆ นอกเรือนจำได้ เช่น บ้าน เป็นต้น คำพิพากษาของศาลที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยแทนที่จำเลยจะถูกคุมขังในเรือนจำ แต่กรมราชทัณฑ์สามารถส่งตัวไปคุมขังในบ้านก็ได้ ดังนั้นคำพิพากษาของศาลที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยจึงไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป รวมทั้งบุคคลที่ช่วยกันทำงานนับสิบนับร้อยคนเพื่อให้ผู้กระความผิดได้รับการลงโทษก็ต้องเหนื่อยเปล่าโดยไม่มีผลใดๆ เลย

เนื้อหาทั้งหมดมีดังนี้ เมื่อมีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น เจ้าพนักงานตำรวจต้องทำการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำความผิด.....เมื่อได้ตัวผู้กระความผิดมาแล้ว พนักงานสอบสวนต้องสอบปากคำพยานบุคคล แสวงหารวบรวมพยานเอกสาร พยานวัตถุ ประกอบสำนวนสอบสวน หากฟังได้ว่า เป็นผู้กระทำความผิดจริง ก็สั่งฟ้องแล้วส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวนสอบสวนส่งไปให้พนักงานอัยการเพื่อพิจารณาต่อไป

.....เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนแล้ว ก็ต้องพิจารณาอ่านสำนวนการสอบสวนพร้อมตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมด หากเห็นด้วยกับพนักงานสอบสวน ก็ฟ้องคดีต่อศาล

.....เมื่อคดีถึงศาลแล้ว ศาลชั้นต้น ต้องทำการสืบพยาน โจทก์ จำเลย ถ้าเป็นคดีที่ประชาชนเป็นผู้เสียหายและผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ และขออ้างพยานเพิ่มเติมจากพยานโจทก์ ก็ต้องสืบพยานโจทก์ร่วมด้วย แล้วจึงนัดฟังคำพิพากษา

.....ศาลต้องอ่านคำพยานของโจทก์ โจทก์ร่วม(หากมี) และจำเลย ประกอบกับการตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมดที่คู่ความส่งมาซึ่งอยู่ในสำนวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว

.....จึงมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ หรือลงโทษจำเลย กรณีลงโทษก็ต้องพิจารณาว่า จะจำคุกหรือไม่ ถ้าจำคุกจะจำคุกกี่ปี เพื่อให้เหมาะกับพฤติการณ์ในการกระทำความผิดในคดีนั้น ทั้งสมควรรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่

.....เมื่อศาลชั้นมีคำพิพากษาแล้ว หากคดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาเสร็จก็ส่งสำนวนและคำพิพากษาคืนศาลชั้นต้นเพื่ออ่านให้คู่ความฟัง

.....ถ้าคู่ความยังไม่พอใจและคดีไม่ต้องห้ามฎีกา ก็มีสิทธิฎีกาต่อศาลฎีกาได้อีก เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกา ผู้พิพากษาศาลฎีกาก็ต้องอ่านคำพยาน ตรวจพยานหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ในสำนวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่ง ปรึกษากันในองค์แล้วจึงเขียนคำพิพากษา

.....เมื่อเจ้าหน้าที่พิมพ์เสร็จก็มีผู้ช่วยผู้พิพากษาในศาลฎีกาช่วยตรวจสอบความถูกต้องทั้งในเรื่องข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ถ้าเห็นด้วยกับร่างคำพิพากษา ก็เสนอท่านประธานศาลฎีกาหรือรองประธานศาลฎีกาที่ท่านประธานศาลฎีกามอบหมายให้พิจารณาอีกครั้ง ถ้าเห็นด้วยก็มีคำสั่งเห็นชอบ แล้วจึงส่งให้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนและองค์คณะลงชื่อในคำพิพากษา จากนั้นก็ส่งไปให้ศาลชั้นต้นอ่านให้คู่ความฟัง

.....ที่กล่าวมานี้เป็นกระบวนการในการดำเนินคดีอาญาอย่างย่อๆ จะเห็นได้ว่า การที่จำเลยคนหนึ่งถูกศาลพิพากษายกฟ้องหรือลงโทษนั้น

.....เฉพาะในชั้นศาล ในศาลชั้นต้นมีองค์คณะผู้พิพากษา ๒ ท่าน ศาลอุทธรณ์มีองค์คณะ ๓ ท่าน มีผู้ช่วยผู้พิพากษาช่วยตรวจความถูกต้อง ๑ ท่าน ประธานศาลอุทธรณ์หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ที่รับมอบหมายจากประธานศาลอุทธณ์ ๑ ท่าน ศาลฎีกามีองค์คณะ ๓ ท่าน ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลในศาลฎีกาทั้งผู้ช่วยเล็กและผู้ช่วยใหญ่รวม ๒ ท่าน และท่านประธานศาลฎีกาหรือรองประธานศาลฎีกาที่ได้รับมอบหมาย ๑ ท่าน

.....จึงมีผู้พิพากษาที่มีส่วนในการพิจารณาพิพากษาคดีในแต่ละคดีรวม ๑๓ ท่าน

.....ถ้าคิดถึงจำนวนผู้ที่มีส่วนในดำเนินแก่ผู้กระทำความผิดทางอาญา ตั้งแต่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นหรือพบเห็นการกระทำความผิด นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน พนักงานสอบสวน บุคคลที่มาให้การเป็นพยานทั้งในชั้นสอบสวนและในชั้นศาล พนักงานอัยการที่ต้องหน้าตรวจสอบสำนวนการสอบสวนและทำหน้าที่ว่าความยืนซักถามพยานโจทก์ในศาล รวมกันทั้งหมดแล้วแต่ละคดีมีไม่น้อยกว่า 30-40 คน บางคดีมีเป็นร้อยคน

.....เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำคุกแล้วและออกหมายขังส่งตัวจำเลยไปให้เรือนจำคุมขังจำเลยไว้ตามคำพิพากษาของศาล

.....ก่อนหน้านี้กรมราชทัณฑ์ใช้วิธีลดโทษให้จำเลยทุกปี โดยถ้าเป็นจำเลยที่ศาลลงโทษจำคุกในระยะยาวไม่มีจำเลยคนใดที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำครบตามกำหนดเวลาที่ศาลมีคำพิพากษาเลย

.....ขณะนี้กรมราชทัณฑ์ได้ออกระเบียบกำหนดให้กรมราชทัณฑ์มีอำนาจส่งตัวจำเลยที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกไปคุมขังในสถานที่อื่นๆ นอกเรือนจำได้ เช่น บ้าน เป็นต้น

.....คำพิพากษาของศาลที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยแทนที่จำเลยจะถูกคุมขังในเรือนจำ แต่กรมราชทัณฑ์สามารถส่งตัวไปคุมขังในบ้านก็ได้

.....ดังนั้นคำพิพากษาของศาลที่ให้ลงโทษจำคุกจำเลยจึงไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป รวมทั้งบุคคลที่ช่วยกันทำงานนับสิบนับร้อยคนเพื่อให้ผู้กระความผิดได้รับการลงโทษก็ต้องเหนื่อยเปล่าโดยไม่มีผลใดๆ เลย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ระทึกสุดขีด! 22 พ.ย. ศาลรธน.ลงมติ 'รับ-ไม่รับ' คำร้อง 'ทักษิณ-เพื่อไทย' ล้มล้างการปกครอง

คอนเฟิร์ม ศุกร์นี้ 22 พ.ย. 9 ตุลาการศาลรธน.นัดประชุมวาระพิเศษ หลังงดมาสองรอบ เตรียมนำหนังสือ-ความเห็นอัยการสูงสุด กางบนโต๊ะประชุม ก่อนลุ้นโหวตลงมติ”รับ-ไม่รับคำร้อง”คดีทักษิณ-เพื่อไทย โดนร้องล้มล้างการปกครองฯ

เดือดพลั่ก! ยธ. แถลงโต้ กมธ.มั่นคงฯ ไม่มีอำนาจเรียก ทวี-อธิบดีกรมคุก ชี้แจงทักษิณชั้น 14

นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายวรชัย บุตรดาบุตร เลขานุการกรมราชทัณฑ์ นายณรงค์ หนูคง ผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ และ น.ส.วริศรา กุญชร ณ อยุธยา ผอ.กองกฎหมาย

เดือด! 'โตโต้' สวน ยธ. ยันมีอำนาจสอบทักษิณป่วยทิพย์ ลั่น กมธ.มั่นคงฯทำงานครอบจักรวาล

นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม.พรรคประชน (ปชน.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร

'โรม' กล่อม 'ทักษิณ' เข้าแจง กมธ.ความมั่นคง ปมชั้น 14 เชื่อเป็นผลดีต่อรัฐบาล-นายกฯอิ๊งค์

นายรังสิมันต์ โรม รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเชิญนายทักษิณ ชินวัตร

'ชูศักดิ์' บอกรู้ตั้งแต่เห็นคำร้อง 'ธีรยุทธ' ไปไม่ได้ เหตุไม่เข้าเกณฑ์ล้มล้างปกครอง

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณา