จาก 'นิติ' สงคราม สู่ 'ประวัติศาสตร์' สงคราม?

1
จาก “นิติ” สงคราม สู่ “ประวัติศาสตร์” สงคราม?

1. “ชั้นใดเขียนกฎหมาย ก็แน่ไซร้เพื่อชั้นนั้น” เป็นวลีอมตะของนักหนังสือพิมพ์ท่านหนึ่ง สะท้อนการที่ชนชั้นปกครองหรือชนชั้นนำใช้กฎหมายมาปราบปราม จับกุม ประชาชนในช่วงปี 2500 อย่างรุนแรง ส่วน “นิติ” สงคราม ผลิตโดยนักวิชาการนิติศาสตร์ในช่วง 2563 นี้ เพื่ออธิบายถึงพฤติกรรมของหลาย ๆ ศาล องค์กรอิสระ และอื่น ๆ ที่ใช้กฎหมายเข้าขโมยอำนาจอธิปไตยของประชาชน ยุบพรรคการเมือง ยุติบทบาทนักการเมือง ที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อสถาบันชาติหรือกษัตริย์ อย่างที่หลาย ๆ กรณีขาดเหตุผลและความเหมาะสมโดยสิ้นเชิง

2. “ประวัติศาสตร์” สงครามก็เป็นการเขียนประวัติศาสตร์ ตีความประวัติศาสตร์อย่างจงใจ เพื่อประโยชน์ของบางชนชั้น บางกลุ่ม หรือบางความเชื่อ หลายครั้งด้วยการปลอมแปลงบิดเบือนข้อเท็จจริง ยกยอหรือด้อยค่าเหตุการณ์หรือประวัติศาสตร์บางแบบ

วงวิชาการไทยยังเลี่ยงที่จะใช้คำ “สงคราม” แต่ก็มีการเสนอบางศัพท์ เช่น “ประวัติศาสตร์บาดหมาง” “ประวัติศาสตร์ชาตินิยม” “ประวัติศาสตร์แบบนิยมเจ้า” ฯ เพื่อเสนอแง่มุมใหม่ให้เกิดความสมดุลหรือเพื่อความถูกต้อง เช่น กรณีโต้แย้งว่า “สุโขทัยไม่ใช่เป็นราชธานีแห่งแรก” การพูดถึงบทบาทสำคัญของขุนหลวงพะงั่วหรือราชวงศ์สุพรรณภูมิ การพูดถึงบทบาทขอมในดินแดนภาคกลางและภาคอีสานของไทย หรือ “พม่าไม่ได้เผาอยุธยา”เพื่อลดความบาดหมางระหว่างเพื่อนบ้านลง การด้อยค่าหรือเพิ่มค่าเหตุการณ์ 2475 บทบาทของจอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ รวมมาถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 6 ตุลาคม 2519 พฤษภาคม 2535 บทบาทความสำคัญเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. สีส้ม ก็เริ่มเกิดกว้างขวางขึ้น

3. วิธีเขียนประวัติศาสตร์ที่มีบทบาทหลักในบ้านเรามีไม่กี่กระแส คือ

(1) กระแสประวัติศาสตร์ราชวงศ์ คือการเขียนตามช่วงประวัติและผลงานของกษัตริย์องค์ต่าง ๆ เป็นแนวหลักในตำราบ้านเรา แต่ลดความนิยมไปเรื่อย ๆ

(2) แนวมาร์กซิสม์ มีอิทธิพลเป็นช่วง ๆ คือหลัง 2475 หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และปัจจุบันเริ่มกลับมามีบทบาทอีก กล่าวโดยสรุปคือมองว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น โดยลำดับคือ สังคมบุพกาล แล้วเป็นสังคมทาส สังคมศักดินา สังคมทุนนิยม จนสู่สังคมคอมมิวนิสต์ในที่สุด

สังคมคอมมิวนิสต์อ้างตัวเป็นพัฒนาการขั้นสูงสุดที่มีความปกครองที่สมบูรณ์ที่สุด ความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง การปกครองศักดินานั้นเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่โหดร้ายทารุณ ประชาธิปไตยเสรีนิยมก็ตกอยู่ในอำนาจของทุน มีแต่ประชาธิปไตยของชนชั้นกรรมาชีพที่ชี้นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้นจึงจะเป็นประชาธิปไตยแท้จริง

4. มีช่วงหนึ่งซึ่งผู้เขียนเคยชื่นชมลัทธิมาร์กซ์ในบางด้าน แต่ก็เสื่อมความเชื่อถือไป (เช่นเดียวกันกับนักวิชาการเกือบทั่วโลก) แต่ผู้เขียนมีเหตุผลว่าลัทธิมาร์กซ์ซึ่งมาจากลัทธิเฮเกล ซึ่งเชื่อว่าจักรวาลหรือมนุษยชาติหรือสังคมมนุษย์ ล้วนมีตัวขับเคลื่อนเป็นเครื่องจักรหรือมอเตอร์ทางประวัติศาสตร์เหมือนกันหมด คือพลังการผลิตและพลังการต่อสู้ทางชนชั้น ซึ่งเป็นคติที่หยิบยืมมาจากความเชื่อของศาสนาคริสต์ที่ว่า มีพระจิต (spirit) หรือเจตจำนง (will) ของพระเจ้า เป็นตัวขับเคลื่อนและกำหนดทุกอย่างในจักรวาล (ศาสนาฮินดูและลัทธิเต๋าของจีนก็มีแนวคิดคล้ายคลึงกับความคิดนี้อยู่)

5.ยังมีการเขียนประวัติศาสตร์กระแสอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ซึ่งเป็นแนววิชาการแท้ ๆ (2 กระแสแรกเป็นผลมาจากระบบความเชื่อและอุดมการณ์เชิงเทวนิยมมากกว่า) ผู้เขียนเองมองประวัติศาสตร์การเมืองไทยผ่านหลายกรอบปรัชญาและทฤษฎี ผู้เขียนเชื่อว่าอำนาจมีแนวโน้มต้อง (และควร) กระจายตัวไปสู่ผู้คนให้หลากหลายทัดเทียมกันมากที่สุด สิ่งที่กำหนดประวัติศาสตร์มีหลากหลายปัจจัย ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ปัจเจกบุคคล เมื่อมาประจวบรวมกันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ โดยมีบุคลากรจากบางเหตุปัจจัยเป็นพลังทางยุทธศาสตร์ (strategic critical juncture model) เช่น นักเรียนพลเรือนและทหารไทยในยุโรปเป็นพลังยุทธศาสตร์การปฏิวัติ 2475 นักศึกษา ปัญญาชน ของยุคพัฒนาจอมพลสฤษดิ์เป็นพลังยุทธศาสตร์เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ และคนรุ่นใหม่เจเนอเรชั่นต่าง ๆ อาจเป็นพลังยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในอนาคตก็ได้

2
ขั้นตอนพัฒนาการเมืองไทย

ไทยผ่านวิกฤติระดับการล่มสลายหรือความตกต่ำมาหลายหน โชคดีที่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ เกิดขึ้นทันท่วงที การเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ นี้ไม่จำเป็นต้องเกิดจากฝ่ายประชาชน แต่กษัตริย์ทรงริเริ่มเปลี่ยนแปลงได้ รัฐบาลทหารก็สร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่ได้ นักศึกษา ปัญญาชน ประชาชน ก็สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ และเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงใหญ่ก็ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องสิทธิ เสรีภาพ หรืออำนาจการเมืองของประชาชน แต่เป็นเรื่องเศรษฐกิจ การบริหาร การปกครอง วัฒนธรรมก็ได้ แต่ทิศทางโดยรวมต้องนำไปสู่สิทธิเสรีภาพที่กว้างขวางของประชาชน ความทัดเทียมทางรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ต้องมากขึ้น ความยุติธรรมต้องชัดเจน และการปกครองโดยนิติธรรมต้องมั่นคง

การเปลี่ยนแปลงใหญ่ในระดับการปฏิรูปโครงสร้างหรือความคิดของประเทศไทยจนถึง 14 ตุลาคม 2516

1.สาเหตุการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกคือภัยคุกคามจากลัทธิอาณานิคมตะวันตก รัชกาลที่ 5 ได้ปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยในทางการบริหาร การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมาย การเงิน การคลัง สาธารณสุข ทางวัตถุ สาธารณูปโภค ถนน รถไฟ โรงพยาบาล ให้เป็นสมัยใหม่แบบตะวันตก ทำให้ไทยก้าวพ้นจากวิกฤติแรกนี้ได้

2.การปฏิรูปการปกครองไทยให้ทันสมัย ทำให้เกิดพลังทางยุทธศาสตร์คือกลุ่มทหาร พลเรือน ที่ตื่นตัวทางวิชาการและการเมือง และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ของคณะราษฎร เป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางความคิดการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และแนะนำความคิดประชาธิปไตยเข้าสู่สังคมไทย

3.มีการปฏิรูปประเทศสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่และรอบด้าน คือ การปฏิรูปเศรษฐกิจประเทศให้เป็นอุตสาหกรรม การขยายถนนสำคัญ ๆ อย่างทั่วถึง การสร้างสำนึกความปัจเจกชน การทำงานเพื่อให้ได้เงินของคน รวมทั้งการปรับปรุงการบริหารการปกครองอีกหน นับจากครั้งแรกที่เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5

4.เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นเสมือนคู่แฝดกับแผนพัฒนาอุตสาหกรรมของจอมพลสฤษดิ์ เป็นเหรียญ 2 ด้านของระบอบการเมืองประชาธิปไตยและทุนเสรีนิยม ความสำคัญของเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ คือการพังทะลายระบบทรราชหรือเผด็จการเบ็ดเสร็จ (totalitarianism) ของทหาร ซึ่งเป็นเสมือนทั้งคุกคุมขังเสรีภาพของประชาชนและกำแพงแห่งความกลัว ซึ่งกฎหมาย กลไกตำรวจลับ หน่วยความมั่นคงทหาร นโยบายและมาตรการป่าเถื่อนอื่น ๆ ได้ผนึกฝังไว้ทั้งจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกของคนไทย

หลังจากเมล็ดพันธุ์แห่งเสรีภาพได้กระจายออกมันก็งอกออกไปทั่วทุกปริมณฑล ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ด้านศิลปะ วัฒนธรรม สังคม ประเพณี ฯลฯ

เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ได้สร้างความเชื่อมั่นในพลังและเสรีภาพของประชาชน และความจำเป็นของการมีระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง ซึ่งถึงแม้จะมีรัฐประหารอีกหลายหน แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะยึดอำนาจโดยไม่มีการเลือกตั้งให้ยาวเกินกว่าเหตุ

ถึงแม้ 14 ตุลาฯ จะมีผลอยู่มาก แต่ก็มีผลลัพธ์ที่กลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงยิ่งทางการเมืองตามมา นั่นคือพรรคการเมืองที่ขยายตัวในช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นพรรคท้องถิ่น ซึ่งเติบโตจากเศรษฐกิจพืชไร่ เหมืองแร่ ก่อสร้าง และกลุ่มมาเฟียอิทธิพลท้องถิ่น ได้เกิดปัญหาการซื้อเสียงและพัฒนาเป็นวัฒนธรรมการเมืองแบบกลุ่มอุปถัมภ์ท้องถิ่น เป็นการเมืองบ้านใหญ่หรือการเมืองอิทธิพลและการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นกว้างขวางทุกพื้นที่

3
การเมืองไทยปัจจุบัน

การเมืองไทยปัจจุบันซับซ้อนยุ่งเหยิง มีหลายเหตุการณ์สำคัญ เช่น การเมืองเสื้อสี เหลือง แดง สลิ่ม แต่เข้าใจได้ไม่ยาก อาจถือเป็นยุคการสร้างพรรคการเมืองอย่างมีฐานเชิงอุดมการณ์ นโยบาย หรือชนชั้น ชัดเจนเต็มที่เป็นครั้งแรก ดังนี้คือ

1. หมดยุควาทกรรมการพัฒนาและวาทกรรมการปฏิรูปเดิม

แผนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม แม้จะประสบความสำเร็จอย่างดีมาหลายฉบับ แต่เริ่มหมดพลังหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง และเมื่อเกิดการปฏิวัติดิจิตอลและโซเชียลมีเดียขึ้น วาทกรรมการปฏิรูปการเมืองซึ่งเฟื่องฟูอย่างยิ่งในช่วงหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 และนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญประชาชนในปี 2540 ก็หมดพลังเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปประสบความล้มเหลวและมีข้ออ่อนมากมาย เช่น องค์กรอิสระไม่อิสระ ได้บุคลากรที่มาจากเส้นสาย อิทธิพลทุนใหญ่และการเมือง

2. ปัญญาชน ชนชั้นกลาง ที่มีบทบาทขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ 14 ตุลา 16 6 ตุลา 19 พฤษภา 35 ปฏิรูปการเมือง 2540 ลดบทบาทลงตามกระแสทั้งในประเทศและทั่วโลก สิ่งที่เกิดขึ้นมาแทนที่คือระบบ connection หรือเครือข่ายอภิสิทธิ์ของชนชั้นนำ ระหว่างนักการเมือง ทุนใหญ่ ทุนย่อย กับข้าราชหาร เทคโนแครต และนักวิชาการบางส่วน ซึ่งทำให้ระบบเครือข่ายอุปถัมภ์และเครือข่ายอภิสิทธิ์เริ่มก่อตัวเป็นโครงสร้างพื้นฐานอำนาจในประเทศไทย

3. ชนบทไทยที่ถูกลืมกำลังสร้างแนวทางการเมือง ระบบพรรคการเมืองที่มีฐานชัดเจนให้กับสังคมไทย ถึงแม้จะเป็นฐานการเมืองแบบมีนโยบายจูงใจ (ประชาธิปไตยกินได้) หรือแบบบ้านใหญ่ โดยเฉพาะอาจเป็นระบบแบบมีพรรคใหญ่ที่ครองอำนาจยาวนาน เช่น ในอินเดียพรรคคองเกรสของสกุลคานธี พรรค Likud ของอิสราเอล พรรคสหภาพของมาร์กอส ฟิลิปปินส์ UMNO ของมาเลเซีย พรรคเสรีนิยมของญี่ปุ่น พรรคสังคมประชาธิปไตยของเยอรมนี โดยก้าวพ้นบทบาทการนำทางความคิดการเมืองของปัญญาชนเมืองและชนบท คนชั้นกลาง เหมือนในช่วงครึ่งแรกของทศวรรษ (2500-2540)

4.หลังสุดได้เกิดมีปรากฏการณ์ความสำเร็จในการเลือกตั้งของพรรคอนาคตใหม่ (2562) และพรรคก้าวไกล (2566) ซึ่งถือเป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญยิ่งถึงการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน แบบเปลี่ยนประบวนทัศน์ หรือการฉุดกระชากรื้อใหม่ ที่กำลังก้าวเข้ามา ซึ่งจะได้พูดถึงต่อไป

ศ. ธีรยุทธ บุญมี
อาจารย์วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ลึกสุดใจ. ”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผบ.ตร.” ยึดกฎกติกา ไม่กลัวทุกอิทธิพล

ถึงตอนนี้ "พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ หรือ บิ๊กต่าย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ" ได้ทำหน้าที่ ผบ.ตร.อย่างเป็นทางการมาร่วมสามเดือนเศษ ส่วนการทำงานต่อจากนี้ ในฐานะ"บิ๊กสีกากี เบอร์หนึ่ง-รั้วปทุมวัน"จะเป็นอย่างไร?

2 สว. “ชาญวิศว์-พิสิษฐ์” ปักธงพิทักษ์รธน. ปกป้องสถาบันฯ พวกเราเป็นอิสระ ไม่มีรับใบสั่ง

กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติเพื่อนำไปสู่การให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูยเพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ต้องการทำให้เสร็จก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น

ก้าวย่างออกจากปัญหา .. ของประเทศ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา... คำกล่าวที่ว่า.. “เมื่อสังคมมนุษยชาติขาดศีลธรรม.. ย่อมพบภัยพิบัติ.. เสื่อมสูญสิ้นสลาย..” นับว่าเป็นสัจธรรมที่ควรน้อมนำมาพิจารณา.. เพื่อการตั้งอยู่ ดำรงอยู่ อย่างไม่ประมาท...

เหลียวหลังแลหน้า การเมืองไทย จาก 2567 สู่ 2568 ส่องจุดจบ ระบอบทักษิณภาค 2

รายการ"ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด"สัมภาษณ์ นักวิชาการ-นักการเมือง สองคน เพื่อมา"เหลียวหลังการเมืองไทยปี 2567 และแลไปข้างหน้า

วิปริตธรรม .. ในสังคม!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. เลียบบ้านแลเมือง มองดูเข้าไปในหมู่ชนของบ้านเรา.. ในยามที่นักการเมืองเป็นใหญ่ มีอำนาจวาสนาบริหารราชการแผ่นดิน จึงได้เห็นความไหลหลงวกวนของหมู่ชน ที่สาละวนอยู่กับการแสวงหา เพื่อให้ได้มาใน ลาภ สักการะ ยศ สรรเสริญ สุข.. ไม่เว้นแม้ในแวดวงนักบวชที่มุ่งแสวงหามากกว่าละวาง

ธุรกิจคาสิโนถูกกฎหมาย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักเกี่ยวพันผู้มีอำนาจทางการเมือง

เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดงานเผยแพร่ผลการศึกษาผลกระทบของคาสิโนถูกกฎหมายต่อการฆาตกรรมและการข่มขืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้