8 ก.ค.2566 - ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ พร้อมครอบครัว 99 ศพ จากเหตุการณ์ชุมนุม พ.ค.2553 แถลงเบื้องหลังทำคดี ก่อนศาลจะมีคำพิพากษาฎีกา อีก 2 วันข้างหน้า หลังธาริต ขอเลื่อนฟังคำพิพากษามาแล้ว10 ครั้ง ว่า ประเด็นที่ 1 สืบเนื่องจากเหตุการณ์ชุมนุมของ นปช. เมื่อช่วงเม.ย.-พ.ค. 2553 ศูนย์ ศอฉ. โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ออกคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงคราม (เอ็ม 16) เข้าสลายการชุมนุม ซึ่งถือว่าเป็นคำสั่งฆ่าและทำร้ายประชาชน ทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 2,000 คน และเสียชีวิต 99 ศพ จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ดีเอสไอซึ่งมีตนเป็นอธิบดีในขณะนั้น จำเป็นต้องทำหน้าที่เพื่อรักษาความยุติธรรม ด้วยการดำเนินคดีต่อผู้สั่งฆ่าผู้เข้าชุมนุม ในข้อหาตามมาตรา ป.อาญา มาตรา 288-289
จากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ในนามอธิบดีดีเอสไอในขณะนั้น ส่งผลให้ผู้ต้องหาในคดีคือ นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ยื่นฟ้องพนักงานสอบสวนในคดี ตามมาตรา 157 มาตรา 200 โดยกล่าวหาว่า พนักงานสอบสวนกลั่นแกล้งพวกตนให้ถูกดำเนินคดี เพื่อรักษาความยุติธรรม ทั้งต่อพนักงานสอบสวน รวมถึงผู้เสียชีวิต 99 ศพ และผู้บาดเจ็บ อีกกว่า 2,000 คน ผมเห็นว่า หากเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดแล้วถูกฟ้องกลับ และถูกดำเนินคดีตาม ป.อาญา มาตรา 157 มาตรา 200 อาจก่อให้เกิดลัทธิเอาอย่างด้วย ซึ่งการใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย มาตรา 157 มาตรา 200 ฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นแบบอย่างที่กระทำความผิดแล้วไม่ต้องรับผิด เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐกลัวที่อาจจะต้องได้รับโทษอาญาเสียเอง
ตนจึงยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ป.อาญา มาตรา 157 และ มาตรา 200 นั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยยื่นคำร้องผ่านศาลฎีกา ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ศาลยุติธรรมจะต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลอาญาและศาลฎีกาจะวินิจฉัยเสียเองไม่ได้
นายธาริต กล่าวอีกว่า ในประเด็นที่ 2 ตามที่มีข่าวเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาว่าตนได้เลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลฎีกาหลายๆ ครั้ง โดยอาจเป็นการหลบเลี่ยงอย่างน่าสงสัยนั้น ขอชี้แจงว่า มีการขอศาลอาญาเลื่อนคดีหลายๆ ครั้งจริง แต่มีสาเหตุมาจากเหตุสำคัญถึง 4 ประการ ได้แก่ 1.การส่งหมายศาลไม่ตรงกับภูมิลำเนาจำเลย 2. จำเลยเจ็บป่วยเป็นโควิดสองครั้ง ที่โรงพยาบาลพญาไท 2 และเข้ารับการผ่าตัดไตทั้ง 2 ข้าง ที่โรงพยาบาลศิริราช กับเป็นลมหมดสติจริง 3. มีญาติผู้ตายของ 99 ศพ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามในคดีนี้หลายราย หลายครั้ง และ 4. จำเลยยื่นขอให้ศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายที่ใช้บังคับกับคดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
ซึ่งเหตุจำเป็นทั้ง 4 ประการดังกล่าว ศาลอาญาต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษา เพราะต้องส่งให้ศาลฎีกาเป็นผู้สั่งคำร้อง ด้วยเหตุคดีอยู่ในอำนาจของศาลฎีกานั่นเอง การเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดีนี้หลายๆ ครั้ง จึงมีเหตุสำคัญและจำเป็นทั้ง 4 ประการ ดังกล่าว ซึ่งเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่ได้เกิดจากตนเสียทั้งหมด
นายธาริต กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นที่ 3 ตนและญาติของผู้ตายจำนวนมาก มีความกังวลและไม่สบายใจต่อคำพิพากษา ศาลฎีกาที่จะได้มีการอ่านโดยศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) จึงมีการร้องขอโดยญาติผู้ตาย เข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามจำนวนมากหลายราย ส่วนตนเอง ก็ได้ร้องขอให้ศาลฎีกาส่งคดีไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มาตรา 157 มาตรา 200 แห่ง ป.อาญา ที่จะใช้บังคับคดีนั้น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ขณะนี้คำร้องต่าง ๆ ที่กล่าวมายังไม่ทราบผลว่าศาลฎีกาได้สั่งคำร้องอย่างไร โดยเฉพาะได้สั่งให้ส่ง มาตรา 157 และมาตรา 200 ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่
และประเด็นที่ 4 ข้อกังวลและไม่สบายใจของตน และญาติผู้ตายคือ หากศาลฎีกาจะพิพากษาลงโทษจำเลย ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ย่อมเกิดผลอย่างใหญ่หลวงมาก เพราะอาจพิพากษาระบุเช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์ว่า การที่ตนกับพวก พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพนั้น ไม่ชอบ เป็นความผิด เพราะนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ กระทำการออกคำสั่ง ศอฉ. ให้ทหารใช้อาวุธสงครามไปยิง ทำร้าย และฆ่าประชาชนนั้น เป็นเหตุร้ายแรงที่สมควรแก่เหตุแล้ว
"ผลก็จะเปรียบเสมือนการฟอกขาว ให้บุคคลทั้งสอง และผู้เกี่ยวข้องในเหตุร้ายแรงนี้เป็นผู้บริสุทธิ์ เกิดเป็นบรรทัดฐานแบบอย่าง ผู้ตายทั้ง 99 ศพ พร้อมครอบครัว และผู้บาดเจ็บอีก 2,000 กว่าคน จะเป็นอันสิ้นสุดที่จะได้รับความยุติธรรม และการเยียวยาในความเสียหายทันที"
จึงเป็นการโยนตราบาปให้กับผู้ตาย 99 ศพ ว่า เป็นผู้ผิดที่สมควรตาย นานาประเทศจะเกิดข้อสงสัยในกระบวนการยุติธรรมของไทยเป็นอย่างยิ่ง อาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงทำนองนี้ได้อีกในประเทศไทย เพราะได้แบบอย่างว่า ทำแล้วไม่ต้องรับผิด และเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งดีเอสไอและหน่วยงานอื่น ๆ จะไม่กล้าดำเนินคดี เพราะอาจต้องติดคุกเสียเอง คำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งถือเป็นบรรทัดฐานในคดีนี้ จึงสำคัญอย่างที่สุด ดังที่ตนได้แถลงชี้แจงมาเป็นลำดับ ก็ด้วยมีความประสงค์จะร้องขอให้ศาลฎีกา ได้โปรดเมตตา คืนความยุติธรรมให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ซึ่งถึงแก่ความตาย 99 ศพ พร้อมครอบครัวผู้สูญเสีย และผู้บาดเจ็บอีก 2,000 คน รวมถึงตนกับพวกที่เป็น เจ้าหน้าที่รัฐผู้รักษากฎหมายด้วย ในสถานการณ์ของบ้านเมืองเช่นนี้ คงมีแต่ศาลยุติธรรม โดยเฉพาะศาลฎีกาและศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น ที่จะผดุงความยุติธรรมตามความเป็นจริง และความยุติธรรมตามธรรมชาติที่สมควรจะพึงมีอยู่ต่อไป
เมื่อถามว่า ในวันที่ 10 ก.ค.นี้ จะเกิดอะไรขึ้น นายธาริต กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีผลต่อความยุติธรรมว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะตนได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาส่งเรื่อง ป.อาญา มาตรา 200 ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ คำร้องที่ได้ยื่นเมื่อวันที่ 7 ก.ค.นี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญว่า ศาลอาญาอาจส่งคำร้องไปให้ศาลฎีกาแล้ว และศาลฎีกามีคำสั่งทันที ให้ยกคำร้องที่ขอศาลรัฐธรรมนูญตีความแล้ว สั่งศาลอาญาอ่านคำพิพากษาจำคุกตน และส่งตัวเข้าคุกทันที หรือศาลฎีกาอาจสั่งให้ส่งคดีไปให้ ศาลรัฐธรรมนูญตีความตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ แม้ว่าศาลอาญาจะได้พิพากษายกฟ้องตนกับพวก และผู้ตาย 99 ศพ ไม่ใช่ผู้กระทำผิด แต่ศาลอุทธรณ์กลับพิพากษาว่า เป็นความผิด คำพิพากษาดังกล่าวได้เกิดขึ้น ในช่วงที่ประธานศาลอุทธรณ์ เป็นผู้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเคยร่วมชุมนุมกับ กปปส. และเมื่อคดีของตนกับพวก ขึ้นสู่ศาลฎีกา บุคคลดังกล่าวก็ได้ขยับขึ้นเป็นประธานศาลฎีกาเช่นกัน ประเด็นนี้เป็นข้อกังวลอย่างยิ่ง
“หากผมจะต้องติดคุกอีกเหมือนคดีทุจริตโรงพักร้าง ที่ผมก็ได้ทำหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย (แต่กลับถูกนายสุเทพ ฟ้องกลับ) ผมก็จำต้องเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ผมไม่อาจทำใจยอมรับได้ โดยต้องเสียใจอย่างที่สุด และการออกมาชี้แจงครั้งนี้ เป็นการใช้สิทธิครั้งสุดท้าย เพื่อความยุติธรรมว่าสมควรมีอยู่จริง” นายธาริตกล่าว
นายธาริต ยังกล่าวด้วยว่า หลังจากเกิดเหตุการสลายชุมนุม ขณะที่เป็นอธิบดีดีเอสไอ มีทหารนายหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร เมื่อปี 2557 เรียกไปเจรจาไม่ให้ดำเนินคดี 99 ศพ โดยเรียกไปพูดว่า “อย่าดำเนินคดี 99 ศพนะ ถ้าไม่ทำตาม อั๊วจะปฏิวัติ และจะถูกย้ายเป็นคนแรก” หลังจากนั้นตน และนายอรรถพล ใหญ่สว่าง อดีตอัยการสูงสุด ก็ถูกสั่งย้ายจากตำแหน่งเดิม และหากไม่ทำคดีนี้ก็จะต้องมีคนอื่นทำอย่างแน่นอน และเห็นว่าครั้งนี้เป็นการข่มขู่ครั้งแรกในการทำคดีนี้ ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
สำหรับคดีการเสียชีวิตของ 99 คน ยังเหลืออายุความอีก 7 ปี นายธาริต เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่งตั้งคณะกรรมาธิการอิสระขึ้นมาแบบระดับ Senior Super Board เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดและให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมด แม้ว่าที่ผ่านมาจะเคยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาในกรณีนี้แล้วก็ตาม ทั้งนี้ที่เพิ่งออกมาเคลื่อนไหว และแถลงข่าว เพราะด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่เอื้ออำนวย หากออกมาพูดก็เห็นว่าจะยิ่งทำให้แย่ลง และเห็นว่ากำลังจะมีรัฐบาลใหม่ที่จะสามารถให้ความเป็นธรรมได้ และหากถูกตัดสินจำคุก ก็ยืนยันว่าจะไม่ใช่การติดคุกฟรี จะไม่มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่จะต้องติดคุก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ทวี' ชี้ ‘เขากระโดง’ คำวินิจฉัยศาลฎีกา 5,083 ไร่ เป็นที่ดินของการรถไฟ ถือสิ้นสุด
เรื่องนี้ไม่ใช่ศาลฎีกาอย่างเดียว กฤษฎีกาก็วินิจฉัยแล้ว ป.ป.ช.ก็วินิจฉัยแล้ว ก็ถือว่าสิ้นสุด ที่สำคัญมีการบังคับคดีและยึดที่คืน
นักกฎหมาย หวั่นคำสั่งทางปค. กรณีที่ดินเขากระโดง อยู่เหนือคำพิพากษาศาลฎีกา จะขัดต่อหลักนิติรัฐ
“ดร.ณัฏฐ์” นักกฎหมายมหาชน ชี้ มติเขากระโดง หักมุม ไม่เชื่อรูปแผนที่ในคำพิพากษาศาลฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาย่อมเหนือกว่าคำสั่งทางปกครอง
สอน 'เพื่อไทย' หัดเอาอย่าง 'อภิสิทธิ์' นักการเมืองรักษาสัจวาจา
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เพื่อไทย ไม่นิรโทษ มาตรา 112 ไม่แคร์มวลชน แต่แคร์พรรคร่วม
ศาลฎีกา ตัดสิทธิสมัครเลือกตั้ง 10 ปี 'สมชาย เล่งหลัก' เจ้าตัวดิ้นสู้ยื้อเก้าอี้ สว.
นายสมชาย เล่งหลัก สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์ ภายหลังศาลฎีกาออกประกาศแจ้งคำสั่งศาลฎีกา คดีเลือกตั้งหมายเลขดำที่ ลต สส 4/2567 หมายเลขแดงที่ 338/2567 ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ร้อง นายสมชาย ผู้คัดค้าน เรื่องพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ปธ.ศาลฎีกา เปิดใช้งานบริการรับคำร้องแจ้งคำสั่งในคดีคุ้มครองสวัสดิภาพ เด็กเเละครอบครัว
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ถ.กำแพงเพชร นางอโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานในพิธีเปิดระบบบริการรับคำร้อง
'อดีตสว.' จับตาศาลฎีกาชี้ชะตา 'สมชาย เล่งหลัก' กระทบเลือก สว. โมฆะคนเดียวหรือทั้งสภาฯ
นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา(สว.) โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กว่า 23 กันยายนนี้มีลุ้น #สว.หลุดเก้าอี้ #กกต.มีหน้าที่ #โมฆะคนเดียวหรือทั้งสภา