ประกาศ 3 ข้อ 'พิธา' แถลงตั้งรัฐบาล ทุกพรรคตกผลึกแล้วปม 112 รอเซ็นเอ็มโอยู 22 พ.ค.

"พิธา" แถลงมั่นใจจัดตั้งรัฐบาล 313 เสียง อ้างทุกพรรคตกผลึกแล้วปมมาตรา 112 ​เตรียมลงนามเอ็มโอยู 22 พ.ค.นี้ "ชลน่าน" ยันสนับสนุนพิธาเป็นนายกฯ บอกต้องรอลงนามก่อนถึงจะพูดได้ว่าสรุปจบแล้ว "หญิงหน่อย" เผยยังไม่ได้ข้อตกลงเรื่องนโยบาย รอตั้งคณะทำงานก่อน​ ทุกพรรคมีหน้าที่ปกป้องรักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แบ่งรับแบ่งสู้แก้ไข ม.112 เพื่อไม่ให้เป็นเครื่องมือไปทำร้ายกัน

18 พ.ค.2566 - เวลา 10.30น. ที่โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม และพรรคเพื่อไทรวมพลัง ร่วมแถลงข่าวผลเจรจาพรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาลประชาชน

โดยนายพิธา กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการมีจำนวนผู้แทนราษฎรรวมกันทั้งสิ้น 313 คน พวกเราทุกพรรคขอขอบคุณทุกเสียงที่ประชาชนมอบให้ ซึ่งเสียงของประชาชนทุกเสียงคือเสียงแห่งความหวัง คือเสียงแห่งการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลชุดใหม่จะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่ออำนาจของประชาชนและเราจะเป็นรัฐบาลของคนไทยทุกคน ทุกพรรคประกาศจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนร่วมกันดังต่อไปนี้ 1.ทุกพรรคเห็นชอบที่จะสนับสนุนนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามข้างมากของผลการเลือกตั้ง 2.ทุกพรรคจะทำข้อตกลงร่วม หรือ MOU ในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแสดงถึงแนวร่วมในการทำงานร่วมกันและวาระร่วมกันของทุกพรรค และจะแถลงต่อสาธารณะชนในวันที่ 22 พ.ค.ที่จะถึง เพื่อแก้ไขวิกฤตทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม 3.ทุกพรรคจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลเดิมได้อย่างไร้รอยต่อ

เมื่อถามถึงข้อเป็นห่วงในเงื่อนไขการแก้ไขมาตรา 112 นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีความห่วงใยเพราะเรากำลังจัดทำทั้งเรื่องของคณะกรรมการที่จะใช้เจรจาการเข้าร่วมรัฐบาล รวมถึงคณะที่จะมีการเปลี่ยนผ่านอำนาจของประชาชนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นขอให้รอรายละเอียดในวันที่ 22 พ.ค.เลยทีเดียว

"เรื่องเกี่ยวกับมาตรา 112 ทุกพรรคตกผลึกแล้วไม่มีอะไรน่ากังวลใจ"นายพิธา กล่าว

เมื่อถามอีกว่าในส่วนของการจัดตั้งรัฐบาลในวันนี้ถ้าเข้าสู่การโหวตของสภาแล้วไม่ได้จะทำอย่างไรต่อไป นายพิธา กล่าวว่า ทั้งคณะเจรจา และคณะเปลี่ยนผ่านได้วางแผนไว้หลายรูปแบบว่าในอนาคตจะมีฉากทัศน์แบบไหนเกิดขึ้นบ้าง และฉากทัศน์แบบนี้เราสามารถจะจัดการบริหารสถานการณ์อย่างไร เพราะฉะนั้นเราสามารถที่จะลดความเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นจึงไม่กังวลอะไร ปล่อยให้คณะทำงานที่ทุกพรรคจัดตั้งในการบริหารทั้งเรื่องของจำนวนเสียงที่เหมาะสม การสานต่อในนโยบายที่เราควรจะทำตามที่ได้สัญญากับประชาชนผ่านนโยบายของทุกพรรค ยืนยันว่าคะแนนโหวตในสภาจะผ่าน

"อย่างที่เรียนถ้าเราไม่มีโรสแมพที่ชัดเจนก็คงจะกังวลแต่ขณะนี้ไม่มีความกังวล เพราะเรามีโรสแมพที่ชัดเจน มีคณะกรรมการที่ชัดเจน มีเป้าหมายที่ชัดเจน ถ้าเกิดฉากทัศน์ออกมาในรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเราได้คาดการณ์ไปก่อนแล้วว่ากรณีนี้จะทำอย่างไรที่ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลของเราสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี" นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวอีกว่า ตนยังคิดว่า 313 เสียง ณ วันนี้เป็นความปกติของระบบประชาธิปไตยที่เพียงพอ เพราะฉะนั้นในการที่เราจะต้องมานั่งคิด หรือบอกว่าได้ 376 เสียงโดยการที่จะต้องตามหาเสียงเพิ่มเติมยังไม่เป็นประเด็นสำคัญในตอนนี้ อย่างไรก็ตามอาจจะมีหลายฉากทัศน์ที่เราอาจจะคาดไม่ถึง เพราะฉะนั้นตนจึงให้กรอบเจรจาหาตัวเลขที่สมดุลเพื่อจะทำให้เกิดความแน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล และจะลดความเสี่ยงต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอีก 2-3 เดือน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลใจสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน

เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย จะกลมเกลียวไม่ปล่อยมือกันใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ยืนยันครับ

ซักว่าจะมีการเชิญพรรคอื่นๆมาร่วมรัฐบาลอีกหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า แล้วแต่คณะกรรมการ ตนมอบอำนาจให้คณะกรรมการดูตัวเลขที่เหมาะสม รวมถึงต้องดูเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย และสามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้หรือไม่ นโยบายตรงกัน จุดยืนตรงกัน อุดมการณ์ตรงกันหรือไม่

ถามต่อว่าจะมีการส่งตัวแทนเข้าไปพูดคุยกับส.ว.เพื่อโหวตจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการ

เมื่อถามอีกว่ามีความมั่นใจแค่ไหนที่ดึงส.ว.เข้ามาร่วมโหวต นายพิธา กล่าวว่า มั่นใจว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ และเป็นไปด้วยดีมีความคืบหน้าเรื่อยๆ

ถามเพิ่มเติมว่า เริ่มมีส.ว.เริ่มเสียงแตกว่าจะโหวตเลือกนายกฯ นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีและต้องขอบคุณ ซึ่งเป็นอาณัติหมายที่ดีพอสมควรที่จะเห็นประเทศไทยหลังจาก 9 ปี สามารถที่จะเริ่มเข้าสู่ระบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจอธิปไตยสูงสุด

ส่วนการจัดสรรปันส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีนั้น นายพิธา กล่าวว่า ภายใต้การนำของตน และหัวหน้าพรรคทุกคน คราวนี้มันไม่ได้เป็นเรื่องของเก้าอี้รัฐมนตรีซะส่วนใหญ่ เราเอาวาระประชาชนเป็นตัวตั้งและนำนโยบายแต่ละพรรคมาเป็นตัวตั้ง ซึ่งหลายนโยบายทั้งเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือการกระจายที่ดินก็ดี มีกระทรวงที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ถึง 8 กระทรวง เพราะฉะนั้นเราต้องเรียงลำดับความสำคัญของปัญหาประชาชนมาเป็นตัวตั้งก่อน และค่อยว่ากันว่าจะมีกระทรวงไหนที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นเอกภาพได้ ซึ่งเรื่องนี้จะได้มีการพูดคุยกันไปเรื่อยๆ

ส่วนใครจะคุมกระทรวงไหนเป็นเรื่องปลายเหตุ เราต้องเอาเป้าหมายของเรามาเป็นตัวตั้งแล้วค่อยคิดว่าโครงสร้างควรเป็นอย่างไร และคนที่จะเข้ามาทำงานในโครงสร้างเหล่านั้นจะเป็นแบบไหน คงจะต้องรอให้กระบวนการเหล่านี้คลี่ไป การที่จะเริ่มเอากระทรวงเป็นตัวตั้งประชาชนคงไม่ได้ประโยชน์อะไร

เมื่อถามว่า มีความกังวลในเรื่องการถูกร้องเรียนจากนักร้องเรียนต่างๆหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่กังวลแต่ก็ไม่ประมาท เข้าใจดีว่าเรื่องของการเมืองมีมิติไหนบ้าง ซึ่งเราก็จะพร้อมรับมือกับทุกมิติ เมื่อเราเป็นบุคคลสาธารณะแล้วก็ต้องพร้อมที่จะถูกตรวจสอบ ขณะเดียวกันถ้ามีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองเราก็พร้อมที่จะเตรียมรับกับผลกระทบที่ได้เกิดขึ้น

ด้านนพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเพื่อเป็นรัฐบาลแห่งความหวังและความฝันของประชาชนให้ได้ ขอยืนยัน แม้จะยืนยันเป็นครั้งที่ 100 500 หรือ 600 ก็ยอม ส่วนแนวทางที่เราประกาศที่จะเข้าร่วมการจัดตั้งรัฐบาล เรื่องแรกเราไม่ได้เป็นคนเสนอเงื่อนไข เรายกให้เป็นหน้าที่ของพรรคแกนนำเป็นผู้เสนอซึ่งข้อเท็จจริงในการดำเนินการก็ผ่านกระบวนการของการจัดทำร่างตกลงร่วมมาให้ทุกพรรคช่วยกันดู

ขั้นตอนนี้แต่ละพรรคก็ดูว่าอะไรที่เราเห็นว่ารับได้ หรือสมควรปรับแก้ หรือไม่สามารถไปด้วยกันได้ ก็จะพิจารณา แต่ร่างดังกล่าวก็ไม่ได้ผูกมัดอะไรมากนัก ก็เปิดโอกาสให้พรรคต่างๆเสนอ เช่นเรื่องมาตรา 112 ก็อยู่ในเนื้อหาของ MOU ถ้าเราลงนามร่วมกันนั่นหมายความว่ามันมีข้อตกลงที่สรุปจบแล้ว เสนอให้กับพรรคซึ่งก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่เราเสนอให้พรรคแกนนำ เพราะฉะนั้นนายพิธา จึงตอบชัดได้ว่าถึงขั้นตอนนี้มันไม่ได้เป็นประเด็นที่เราจะไม่ร่วมกันในกรณีมาตรา 112 เพราะมีข้อตกลงร่วมที่ทุกคนหาทางออกร่วมกันได้

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราจะร่วมกันผลักดันให้มีคะแนนในที่ประชุมร่วมรัฐสภาให้ได้ 376 เสียงให้ได้ เราเป็นพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันไม่ได้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพรรคแกนนำเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะมีความเข้าใจผิดว่าที่เราบอกว่าพรรคแกนนำเป็นผู้ดำเนินการ นั่นหมายความว่าการเริ่มการเมื่อทำงานด้วยกันแล้วทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน มั่นใจว่าเราจะมีเสียงในรัฐสภา 376 เสียงเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีและเข้าสู่กระบวนการการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นรัฐบาลของประชาชน

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า พรรคไทยสร้างไทยยืนยันว่าหลักการของเราได้พูดเป็นสัญญาประชาคมตั้งแต่ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงว่าเราสนับสนุนให้ทุกฝ่ายเดินตามครรลองของประชาธิปไตย เมื่อพรรคก้าวไกลได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนเป็นอันดับหนึ่ง เรายกมือสนับสนุนให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี

ส่วนข้อตกลงในนโยบายต่างๆนั้นยังไม่ได้เริ่มนับหนึ่งในการที่จะมานั่งพูดคุยกันหลังจากวันนี้ก็จะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันในการที่จะมานับหนึ่งเพื่อทำนโยบาย ยืนยันว่าการทำนโยบายที่ได้ให้สัญญากับประชาชนสำคัญกว่าการมาแบ่งตำแหน่งกระทรวง ตนถ้าจะต้องมาร่วมรัฐบาลเพราะต้องมาแบ่งกระทรวงแล้วไปทำมาหากินกัน ตนไม่จำเป็นต้องมาเป็นรัฐบาล แต่เราอยากจะผลักดันสิ่งที่เห็นว่าประชาชนยากลำบากมาแก้ไขให้สำเร็จ อยากเห็นประเทศเดินหน้า หรืออยากให้ประเทศไทยยืนหนึ่งบนพื้นที่การแข่งขันโลก ไม่ใช่อยู่อย่างเหมือน 9 ปีที่ผ่านมา

"ส่วนประเด็นมาตรา 112 หน้าที่ของพรรคการเมืองทุกพรรคตามรัฐธรรมนูญเลยรักษาชาติจะต้องรักษาชาติศาสตร์ กษัตริย์ไว้ ดังนั้นการที่จะทำอะไรแล้วจะกระทบทำให้สถาบันเกิดความเสื่อมเสีย ที่ของทุกพรรคการเมืองจะต้องปกป้อง ส่วนการที่ผู้มีอำนาจใช้ประเด็น 112 เพื่อกลั่นแกล้งหรือทำร้ายกัน คงจะต้องมีการมาพิจารณาและมาดูแต่ละประเด็นของการที่จะทำให้มาตรา 112 ปกป้องสถาบันได้อย่างดีและไม่เป็นเครื่องมือให้กับใครที่มีอำนาจไปทำร้ายคนอื่นเป็นยืนยันจะต้องปกป้องสถาบัน"คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

"พิธา" แถลงมั่นใจจัดตั้งรัฐบาล 313 เสียง อ้างทุกพรรคตกผลึกแล้วปมมาตรา 112 ​เตรียมลงนามเอ็มโอยู 22 พ.ค.นี้ "ชลน่าน" ยันสนับสนุนพิธาเป็นนายกฯ บอกต้องรอลงนามก่อนถึงจะพูดได้ว่าสรุปจบแล้ว "หญิงหน่อย" เผยยังไม่ได้ข้อตกลงเรื่องนโยบาย รอตั้งคณะทำงานก่อน​ ทุกพรรคมีหน้าที่ปกป้องรักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แบ่งรับแบ่งสู้แก้ไข ม.112 เพื่อไม่ให้เป็นเครื่องมือไปทำร้ายกัน

18 พ.ค.2566 - เวลา 10.30น. ที่โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม และพรรคเพื่อไทรวมพลัง ร่วมแถลงข่าวผลเจรจาพรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาลประชาชน

โดยนายพิธา กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการมีจำนวนผู้แทนราษฎรรวมกันทั้งสิ้น 313 คน พวกเราทุกพรรคขอขอบคุณทุกเสียงที่ประชาชนมอบให้ ซึ่งเสียงของประชาชนทุกเสียงคือเสียงแห่งความหวัง คือเสียงแห่งการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลชุดใหม่จะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่ออำนาจของประชาชนและเราจะเป็นรัฐบาลของคนไทยทุกคน ทุกพรรคประกาศจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนร่วมกันดังต่อไปนี้ 1.ทุกพรรคเห็นชอบที่จะสนับสนุนนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามข้างมากของผลการเลือกตั้ง 2.ทุกพรรคจะทำข้อตกลงร่วม หรือ MOU ในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแสดงถึงแนวร่วมในการทำงานร่วมกันและวาระร่วมกันของทุกพรรค และจะแถลงต่อสาธารณะชนในวันที่ 22 พ.ค.ที่จะถึง เพื่อแก้ไขวิกฤตทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม 3.ทุกพรรคจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลเดิมได้อย่างไร้รอยต่อ

เมื่อถามถึงข้อเป็นห่วงในเงื่อนไขการแก้ไขมาตรา 112 นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีความห่วงใยเพราะเรากำลังจัดทำทั้งเรื่องของคณะกรรมการที่จะใช้เจรจาการเข้าร่วมรัฐบาล รวมถึงคณะที่จะมีการเปลี่ยนผ่านอำนาจของประชาชนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นขอให้รอรายละเอียดในวันที่ 22 พ.ค.เลยทีเดียว

"เรื่องเกี่ยวกับมาตรา 112 ทุกพรรคตกผลึกแล้วไม่มีอะไรน่ากังวลใจ"นายพิธา กล่าว

เมื่อถามอีกว่าในส่วนของการจัดตั้งรัฐบาลในวันนี้ถ้าเข้าสู่การโหวตของสภาแล้วไม่ได้จะทำอย่างไรต่อไป นายพิธา กล่าวว่า ทั้งคณะเจรจา และคณะเปลี่ยนผ่านได้วางแผนไว้หลายรูปแบบว่าในอนาคตจะมีฉากทัศน์แบบไหนเกิดขึ้นบ้าง และฉากทัศน์แบบนี้เราสามารถจะจัดการบริหารสถานการณ์อย่างไร เพราะฉะนั้นเราสามารถที่จะลดความเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นจึงไม่กังวลอะไร ปล่อยให้คณะทำงานที่ทุกพรรคจัดตั้งในการบริหารทั้งเรื่องของจำนวนเสียงที่เหมาะสม การสานต่อในนโยบายที่เราควรจะทำตามที่ได้สัญญากับประชาชนผ่านนโยบายของทุกพรรค ยืนยันว่าคะแนนโหวตในสภาจะผ่าน

"อย่างที่เรียนถ้าเราไม่มีโรสแมพที่ชัดเจนก็คงจะกังวลแต่ขณะนี้ไม่มีความกังวล เพราะเรามีโรสแมพที่ชัดเจน มีคณะกรรมการที่ชัดเจน มีเป้าหมายที่ชัดเจน ถ้าเกิดฉากทัศน์ออกมาในรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเราได้คาดการณ์ไปก่อนแล้วว่ากรณีนี้จะทำอย่างไรที่ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลของเราสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี" นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวอีกว่า ตนยังคิดว่า 313 เสียง ณ วันนี้เป็นความปกติของระบบประชาธิปไตยที่เพียงพอ เพราะฉะนั้นในการที่เราจะต้องมานั่งคิด หรือบอกว่าได้ 376 เสียงโดยการที่จะต้องตามหาเสียงเพิ่มเติมยังไม่เป็นประเด็นสำคัญในตอนนี้ อย่างไรก็ตามอาจจะมีหลายฉากทัศน์ที่เราอาจจะคาดไม่ถึง เพราะฉะนั้นตนจึงให้กรอบเจรจาหาตัวเลขที่สมดุลเพื่อจะทำให้เกิดความแน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล และจะลดความเสี่ยงต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาอีก 2-3 เดือน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลใจสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน

เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย จะกลมเกลียวไม่ปล่อยมือกันใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ยืนยันครับ

ซักว่าจะมีการเชิญพรรคอื่นๆมาร่วมรัฐบาลอีกหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า แล้วแต่คณะกรรมการ ตนมอบอำนาจให้คณะกรรมการดูตัวเลขที่เหมาะสม รวมถึงต้องดูเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย และสามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้หรือไม่ นโยบายตรงกัน จุดยืนตรงกัน อุดมการณ์ตรงกันหรือไม่

ถามต่อว่าจะมีการส่งตัวแทนเข้าไปพูดคุยกับส.ว.เพื่อโหวตจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการ

เมื่อถามอีกว่ามีความมั่นใจแค่ไหนที่ดึงส.ว.เข้ามาร่วมโหวต นายพิธา กล่าวว่า มั่นใจว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ และเป็นไปด้วยดีมีความคืบหน้าเรื่อยๆ

ถามเพิ่มเติมว่า เริ่มมีส.ว.เริ่มเสียงแตกว่าจะโหวตเลือกนายกฯ นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีและต้องขอบคุณ ซึ่งเป็นอาณัติหมายที่ดีพอสมควรที่จะเห็นประเทศไทยหลังจาก 9 ปี สามารถที่จะเริ่มเข้าสู่ระบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจอธิปไตยสูงสุด

ส่วนการจัดสรรปันส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีนั้น นายพิธา กล่าวว่า ภายใต้การนำของตน และหัวหน้าพรรคทุกคน คราวนี้มันไม่ได้เป็นเรื่องของเก้าอี้รัฐมนตรีซะส่วนใหญ่ เราเอาวาระประชาชนเป็นตัวตั้งและนำนโยบายแต่ละพรรคมาเป็นตัวตั้ง ซึ่งหลายนโยบายทั้งเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือการกระจายที่ดินก็ดี มีกระทรวงที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ถึง 8 กระทรวง เพราะฉะนั้นเราต้องเรียงลำดับความสำคัญของปัญหาประชาชนมาเป็นตัวตั้งก่อน และค่อยว่ากันว่าจะมีกระทรวงไหนที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นเอกภาพได้ ซึ่งเรื่องนี้จะได้มีการพูดคุยกันไปเรื่อยๆ

ส่วนใครจะคุมกระทรวงไหนเป็นเรื่องปลายเหตุ เราต้องเอาเป้าหมายของเรามาเป็นตัวตั้งแล้วค่อยคิดว่าโครงสร้างควรเป็นอย่างไร และคนที่จะเข้ามาทำงานในโครงสร้างเหล่านั้นจะเป็นแบบไหน คงจะต้องรอให้กระบวนการเหล่านี้คลี่ไป การที่จะเริ่มเอากระทรวงเป็นตัวตั้งประชาชนคงไม่ได้ประโยชน์อะไร

เมื่อถามว่า มีความกังวลในเรื่องการถูกร้องเรียนจากนักร้องเรียนต่างๆหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่กังวลแต่ก็ไม่ประมาท เข้าใจดีว่าเรื่องของการเมืองมีมิติไหนบ้าง ซึ่งเราก็จะพร้อมรับมือกับทุกมิติ เมื่อเราเป็นบุคคลสาธารณะแล้วก็ต้องพร้อมที่จะถูกตรวจสอบ ขณะเดียวกันถ้ามีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองเราก็พร้อมที่จะเตรียมรับกับผลกระทบที่ได้เกิดขึ้น

ด้านนพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 และร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเพื่อเป็นรัฐบาลแห่งความหวังและความฝันของประชาชนให้ได้ ขอยืนยัน แม้จะยืนยันเป็นครั้งที่ 100 500 หรือ 600 ก็ยอม ส่วนแนวทางที่เราประกาศที่จะเข้าร่วมการจัดตั้งรัฐบาล เรื่องแรกเราไม่ได้เป็นคนเสนอเงื่อนไข เรายกให้เป็นหน้าที่ของพรรคแกนนำเป็นผู้เสนอซึ่งข้อเท็จจริงในการดำเนินการก็ผ่านกระบวนการของการจัดทำร่างตกลงร่วมมาให้ทุกพรรคช่วยกันดู

ขั้นตอนนี้แต่ละพรรคก็ดูว่าอะไรที่เราเห็นว่ารับได้ หรือสมควรปรับแก้ หรือไม่สามารถไปด้วยกันได้ ก็จะพิจารณา แต่ร่างดังกล่าวก็ไม่ได้ผูกมัดอะไรมากนัก ก็เปิดโอกาสให้พรรคต่างๆเสนอ เช่นเรื่องมาตรา 112 ก็อยู่ในเนื้อหาของ MOU ถ้าเราลงนามร่วมกันนั่นหมายความว่ามันมีข้อตกลงที่สรุปจบแล้ว เสนอให้กับพรรคซึ่งก็เป็นไปตามเงื่อนไขที่เราเสนอให้พรรคแกนนำ เพราะฉะนั้นนายพิธา จึงตอบชัดได้ว่าถึงขั้นตอนนี้มันไม่ได้เป็นประเด็นที่เราจะไม่ร่วมกันในกรณีมาตรา 112 เพราะมีข้อตกลงร่วมที่ทุกคนหาทางออกร่วมกันได้

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราจะร่วมกันผลักดันให้มีคะแนนในที่ประชุมร่วมรัฐสภาให้ได้ 376 เสียงให้ได้ เราเป็นพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันไม่ได้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพรรคแกนนำเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะมีความเข้าใจผิดว่าที่เราบอกว่าพรรคแกนนำเป็นผู้ดำเนินการ นั่นหมายความว่าการเริ่มการเมื่อทำงานด้วยกันแล้วทุกฝ่ายจะต้องช่วยกัน มั่นใจว่าเราจะมีเสียงในรัฐสภา 376 เสียงเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีและเข้าสู่กระบวนการการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นรัฐบาลของประชาชน

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า พรรคไทยสร้างไทยยืนยันว่าหลักการของเราได้พูดเป็นสัญญาประชาคมตั้งแต่ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงว่าเราสนับสนุนให้ทุกฝ่ายเดินตามครรลองของประชาธิปไตย เมื่อพรรคก้าวไกลได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนเป็นอันดับหนึ่ง เรายกมือสนับสนุนให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี

ส่วนข้อตกลงในนโยบายต่างๆนั้นยังไม่ได้เริ่มนับหนึ่งในการที่จะมานั่งพูดคุยกันหลังจากวันนี้ก็จะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันในการที่จะมานับหนึ่งเพื่อทำนโยบาย ยืนยันว่าการทำนโยบายที่ได้ให้สัญญากับประชาชนสำคัญกว่าการมาแบ่งตำแหน่งกระทรวง ตนถ้าจะต้องมาร่วมรัฐบาลเพราะต้องมาแบ่งกระทรวงแล้วไปทำมาหากินกัน ตนไม่จำเป็นต้องมาเป็นรัฐบาล แต่เราอยากจะผลักดันสิ่งที่เห็นว่าประชาชนยากลำบากมาแก้ไขให้สำเร็จ อยากเห็นประเทศเดินหน้า หรืออยากให้ประเทศไทยยืนหนึ่งบนพื้นที่การแข่งขันโลก ไม่ใช่อยู่อย่างเหมือน 9 ปีที่ผ่านมา

"ส่วนประเด็นมาตรา 112 หน้าที่ของพรรคการเมืองทุกพรรคตามรัฐธรรมนูญเลยรักษาชาติจะต้องรักษาชาติศาสตร์ กษัตริย์ไว้ ดังนั้นการที่จะทำอะไรแล้วจะกระทบทำให้สถาบันเกิดความเสื่อมเสีย ที่ของทุกพรรคการเมืองจะต้องปกป้อง ส่วนการที่ผู้มีอำนาจใช้ประเด็น 112 เพื่อกลั่นแกล้งหรือทำร้ายกัน คงจะต้องมีการมาพิจารณาและมาดูแต่ละประเด็นของการที่จะทำให้มาตรา 112 ปกป้องสถาบันได้อย่างดีและไม่เป็นเครื่องมือให้กับใครที่มีอำนาจไปทำร้ายคนอื่นเป็นยืนยันจะต้องปกป้องสถาบัน"คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'พิธา' ทวงบุญคุณเอ็มโอยูยกเก้าอี้ประธานสภาให้จี้เร่งทำ 3 เรื่อง

'พิธา' ทวงสัญญาพรรคการเมือง-ครม. กลางสภายกเอ็มโอยูตั้ง รบ.ไม่สำเร็จ แต่ขอให้ผลักดัน 3 ข้อ รัฐสภาก้าวหน้า-นิรโทษฯ-ปฏิรูปกองทัพ

'ไอติม' ยันก้าวไกลไม่ได้หนุน 'บิ๊กแจ๊ส' ชิงนายก อบจ.ปทุมธานี

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี สส.ของพรรคก้าวไกล โพสต์แสดงความยินดีกับ นายชาญ พวงเพ็ชร์ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี (อบจ.ปทุมธานี) ที่ชนะการเลือกตั้ง

'อนาคตไกล' ชี้ตัวแปรทำ 'ชาญ' ชนะเลือกตั้งนายกอบจ.ปทุมธานี

“อนาคตไกล” ชี้ตัวแปร ทำให้ชาญ ชนะการเลือกตั้ง นายกอบจ.ปทุมธานี แม้ ปปช.ชี้มูลและศาลประทับรับฟ้อง ก็ไม่ขาดคุณสมบัติสมัครนายกอบจ.