ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง 3 จำเลยคดีฆ่า 'พลเอกร่มเกล้า'

21 ก.พ.2566 - ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฆ่า พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม กับลูกน้อง หมายเลขดำ อ.857/2562 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ1 และนางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุขเสก หรือเสก พลตื้อ, นางพรกมล บัวฉัตรขาว หรือนางกนกพร ศิริพรรณาภิรัตน์ อดีตผู้ดำเนินรายการทีวีสถานีประชาชน ช่องเอเชียอัพเดต และนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและสนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นฯ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ

โดยโจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 พ.ย. 2552 - 20 พ.ค. 2553 กลุ่ม นปช. ได้ร่วมกันชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ลาออกจากตำแหน่ง จนวันที่ 7 เม.ย. 2553 นายอภิสิทธิ์ ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร และออกคำสั่งจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ บริเวณ ถ.ราชดำเนินกลาง ตั้งแต่แยกคอกวัวมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

กระทั่งวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยที่ 1 และ 3 กับพวกร่วมกันมีลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบ M.67 คนละ 3 ลูก ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนด้านการเงิน และจัดหาระเบิดให้ โดยพวกจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นด้วยการขว้างระเบิดสังหาร 2 ลูก ใส่เจ้าหน้าที่ทหารขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ เป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รอ.(ขณะนั้น) กับนายทหารรวม 5 นายเสียชีวิต และมีนายทหารอีกหลายนายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยพวกจำเลยให้การปฏิเสธ

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 1 ก.พ.64 ด้วยเหตุคำเบิกความพยานโจทก์มีข้อพิรุธ ประจักษ์พยานโจทก์จึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้และศาลพิจารณาคำฟ้องจำเลยเปรียบเทียบกับคดี นปช.ก่อการร้าย ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกัน มูลเหตุช่วงเวลาเดียวกัน ถือเป็นการฟ้องซ้อน พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1-3

ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้จำเลยที่ 1-2 เดินทางมาศาลพร้อมนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ส่วนจำเลยที่ 3 ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำ (คดีอื่น)

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายวิญญัติ ทนายความเปิดเผยว่าวันนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องจำเลยทั้ง 3 คน โดยศาลวินิจฉัยประเด็นเเรกส่า ฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1-3 คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีนปช.ก่อการร้ายหรือไม่ ซึ่งศาล เห็นว่า บทบัญญัติเรื่อง ฟ้องซ้อนในคดีอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะจึงต้องนำประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยเรื่องฟ้องซ้อน มาตรา 173มาบังคับใช้โดยอนุโลม ที่ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น โดยคดีนั้นโจทก์ได้ บรรยายฟ้องคดีทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้อน ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้อน ของศาลชั้นต้นนั้นชอบแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เเละ3

นายวิญญัติกล่าวต่อว่ายังมีประเด็นที่ อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่1 เเละ3 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ คดีจึงมีข้อที่ศาลต้องพิจารณาก่อนว่าจำเลยที่1 เเละ3 ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง หรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของพยานที่อ้างว่ามีลูกระเบิดอยู่ในกระเป๋าและเห็นจำเลยที่ 1 เเละ3 หยิบสิ่งของออกจากกระเป๋าที่ข้างเต็นท์ ข้อนำสืบของพยานที่อ้างว่า เห็นจำเลย1,3หยิบสิ่งของออกจากกระเป๋าสะพายต่อมาทราบว่าเป็นลูกระเบิดเอ็ม 67จึงเป็น ข้อกล่าวอ้างในชั้นพิจารณาโดยไม่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ซึ่งคำให้การ พยาน2ปากดังกล่าวกลับยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่1 เเละ3 มีลูกระเบิดเอ็ม 67ติดตัวคนละ 3 ลูก โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยนำลูกระเบิดติดตัวมาจากที่ใด และศาลยังมองว่าทราบได้ อย่างไรว่า จำเลยมีลูกระเบิดเอ็ม67ติดตัวคนละ 3ลูก ข้อนำสืบ ของพยานไม่สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวน ซึ่งเป็นข้อสาระสำคัญ อีกทั้งพยานบางปากเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพื่อสนับสนุนพยานหลักฐานโจทก์

ยังมีส่วนที่พยานให้การว่า จำเลยที่ 3 เล่าให้ฟังว่าอยู่ในเหตุการณ์ขว้างระเบิดใส่ทหารเท่านั้นเเละยังมี พยานพบจำเลยที่ 1 ถือและใช้อาวุธเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่ทหาร เเละกระสุน มีทิศทางมาจากฝั่งผู้ชุมนุม พยานหันไปมองวัตถุ ดังกล่าว และมีการระเบิดขึ้นทำให้เจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่ด้านหน้าพยานล้มลง เเต่ก็มีพยานปากนายทหาาให้การว่า เห็นวัตถุสีดำกลิ้งมาจากฝั่งผู้ชุมนุม วัตถุดังกล่าวเกิดระเบิดขึ้น คำให้การชั้นสอบสวน จึงแตกต่างจากคำเบิกความที่อ้างว่าเป็น ประจักษ์พยานที่อ้างว่าเห็นจำเลยที่ 1ขว้างระเบิดออกมาจากบ้าน ในข้อสาระสำคัญ ย่อมทำให้พยานหลักฐานโจทก์มีข้อพิรุธน่าสงสัยอยู่ตามสมควร พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักไม่เพียงพอให้รับฟังได้โดยปราศจาก ข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1,3กระทำผิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 2จึงไม่อาจเป็นผู้สนับสนุน ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น ศาลจึงพิพากษายืนยกฟ้อง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'แม่เสี่ยโป้' คอตกนอนคุก คดีเว็บพนัน-ฟอกเงิน หลังหลบหนีนานกว่า 3 ปี

ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน กก.1 กองบังคับการปราบปราม คุมตัว น.ส.บานเย็น ชาญนรา อายุ 51 ปี มารดาของนายเสี่ยโป้ อานนท์ เป็นผู้ต้องตามหมายจับศาลอาญา คดี “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น

เอาแล้ว! ศาลฯ รับคดีไว้ไต่สวน หลัง 'วีระ' ฟ้อง ป.ป.ช.ไม่เผยสำนวนนาฬิกาหรูบิ๊กป้อม

นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำเร็จไปอีกขั้น วันนี้ศาลอาญาคดีทุจริตแ

'บอสพอล' คอตกนอนคุก! ศาลไฟเขียวฝากขัง ส่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

‘บอสพอล’ คอตกนอนคุก หลังศาลอนุญาตฝากขังครั้งเเรก ให้การปฏิเสธทุกข้อหา เจ้าตัวยังไม่ยื่นประกัน เจ้าหน้าที่ส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

'จตุพร' ลั่นไม่อยากเห็นประชาชนลงถนน รัฐบาลก็อย่าทำโครงการขายแผ่นดิน

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า สถานการณ์การเมืองเริ่มไม่แน่นอนขึ้น เพราะการตรวจสอบชั้น 14 ใกล้เสร็จและต้องไปถึงศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย

อดีตบิ๊กศรภ. จี้รัฐบาลแพทองฯ ทำกรณีทหารกับเสื้อแดง ให้ยุติเสียที

พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กว่าเรื่องทหารกับเสื้อแดง