ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ โปรแกรมวันที่ 10 ธันวาคม เป็นการแข่งขัน 2 คู่สุดท้ายของรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดย 2 คู่แรกในรอบ 8 ทีมก็มีการพลิกล็อคกันยกใหญ่ เมื่อทีม"เต็ง1"บราซิล ที่ใครๆก็มองว่าจะกินโครเอเชียง่ายๆ ต้องโดนลากยาว 120 นาที ก่อนจะดวลจุดโทษ และก็เข้าทางโครเอเชีย ทีม"ตราหมากรุก"รองแชมป์เก่าฟุตบอลโลก2018 ชนะไป4-2 ประตู
อีกคู่"ฟ้าขาว" อาร์เจนติน่า เจอ""อัศวินสีส้ม"เนเธอร์แลนด์ ก็ต้องตัดสินกันด้วยการดวลจุดโทษ และเป็น"ฟ้าขาว"ที่เอาตัวรอด ชนะไป 4-3 เข้ารองรองฯไปดวลกับโครเอเชีย
สำหรับเกมบิ๊กแมตช์รอบ 8 ที่ม คืนวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคมนี้ ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากหนีไม่พ้น "สิงโตคำราม" ทีมชาติอังกฤษ อดีตแชมป์โลก 1 สมัย พบ "ตราไก่" ทีมชาติฝรั่งเศส อดีตแชมป์โลก 2 สมัย แข่งขันในเวลา 02.00น. (เช้าตรู่ วันที่ 11 ธันวาคม) ไทยรัฐทีวี ช่อง 32 และทรูสปอร์ต 2 ถ่ายทอดสด
- สภาพความพร้อมของทั้งสองทีม
อังกฤษ ภายใต้การคุมทีมของแกเร็ธ เซาธ์เกต ผ่านรอบ 16 ทีมสุดท้ายมาแบบไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก เมื่อไล่ต้อน เซเนกัล 3-0 จากการยิงของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, แฮร์รี เคน และบูกาโย ซากา โดยคนที่ได้รับคำชมมากที่สุดในเกมนี้ได้แก่ จูด เบลลิงแฮม กองกลางพรสวรรค์สูงที่สร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ในเกมนี้ "สิงโตคำราม" จะต้องเจอกับโจทย์ที่ยากเป็นอย่างยิ่ง เพราะ ฝรั่งเศส ถือเป็นคู่ต่อกรที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับคู่แข่งทั้งในรอบแบ่งกลุ่ม และรอบที่แล้ว
เกมนี้ อังกฤษ ไร้ปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ หรือติดโทษแบน จะขาดก็แค่เพียง เบน ไวท์ ที่กลับบ้านไปตั้งแต่วีคที่แล้วเนื่องด้วยปัญหาส่วนตัว เช่นเดียวกับ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ขอกลับเมืองผู้ดีด่วนเนื่องจากครอบครัวถูกโจรปล้นบ้าน แต่ขุมกำลังรายอื่นๆ ถือว่าพร้อมรบ แฮร์รี เคน เกมที่แล้วเพิ่งเปิดซิงยิงในบอลโลกหนนี้ลูกแรก จะได้ลงสนามเป็น 11 คนแรกต่อไป ขณะที่ผู้เล่นในตำแหน่งเกมรุกน่าสนใจว่า เซาธ์เกต จะเลือกใช้ใคร เพราะมีตัวเลือกอยู่หลายคน ทั้ง ฟิล โฟเดน, บูกาโย ซากา, แจ็ค กรีลิช, มาร์คัส แรชฟอร์ด, เมสัน เมาท์ และตอนนี้พวกเขาได้ เจมส์ แมดดิสัน หายเจ็บกลับมาแล้วอีกหนึ่งราย ด้านเกมรับน่าจะยึดผู้เล่นชุดเดิม ทั้ง ไคล์ วอล์คเกอร์, แฮร์รี แม็กไกวร์, จอห์น สโตนส์ และลุค ชอว์ ส่วนแผงมิดฟิลด์จะเป็นการประสานงานกันระหว่าง ดีแคลน ไรซ์ และจูด เบลลิงแฮม
ทางด้าน ฝรั่งเศส ของกุนซือดิดิเยร์ เดส์ชองส์ หมายมั่นปั้นมือเป็นอย่างยิ่งที่จะจารึกประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกที่สามารถป้องกันแชมป์โลกได้นับตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้ถ้วย "ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ" ในปี 1974 โดยในฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียเขานำทัพ "ตราไก่" เถลิงบัลลังก์แชมป์สมัยที่ 2 ไปครองอย่างยิ่งใหญ่ และหนนี้พวกเขายังคงยอดเยี่ยมเช่นเดิม เกมที่แล้ว คีเลียน เอ็มบัปเป โชว์ฟอร์มสุดเทพเหมา 2 ประตูช่วยให้ทีมเอาชนะ โปแลนด์ 3-1 เข้ารอบมาแบบเหนือชั้นสุดๆ
เกมนี้พวกเขาไม่มีผู้เล่นบาดเจ็บเพิ่มเติม และไม่มีใครติดโทษแบน ขาดแค่เพียง 2 นักเตะที่ถอนตัวไปแล้วตั้งแต่แรก ทั้ง ลูคัส เอร์นองเดซ และคาริม เบนเซมา ส่วนขุมกำลังคนอื่นๆ อยู่กันครบ โดย คีเลียน เอ็มบัปเป ปัจจุบันนำโด่งในตำแหน่งดาวซัลโวฟุตบอลโลก 2022 ซัดไปแล้ว 5 ประตู จะเป็นคีย์แมนสำคัญในการเล่นงานทีมรับของอังกฤษ ขณะที่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่เพิ่งจารึกสถิติขึ้นไปเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลทีมชาติฝรั่งเศสแซงหน้า เธียร์รี อองรี ที่ 52 ประตู ก็น่าจะได้ลงเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า ขณะที่ อองตวน กรีซมันน์ ที่ฟอร์มยอดเยี่ยมในเวิลด์ คัพ ครั้งนี้ ก็จะลงไปเป็นตัวปั้นเกมร่วมกับ อุสมาน เด็มเบเล ด้านเกมรับค่อนข้างลงตัวอยู่แล้ว ราฟาเอล วาราน จะยืนเซ็นเตอร์คู่กับ ดาโยต์ อูปาเมกาโน โดยมี ฌูลส์ คุนเด และธีโอ เอร์นองเดซ ยืนแบ็คขวา-ซ้าย
- สถิติการเจอกันของทั้งคู่
สองทีมเคยฟาดแข้งกันมาแล้ว 13 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 1962 ฝรั่งเศส เอาชนะได้ 6 นัด อังกฤษ ชนะ 3 นัด เสมอกัน 4 นัด คู่นี้เคยดวลกันมาในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย 2 ครั้ง ในปี 1966, 1982 เป็น "สิงโตคำราม" ที่เก็บชัยได้ทั้ง 2 นัด แต่เกมล่าสุดที่เจอกันคือแมตช์อุ่นเครื่อง ปี 2017 ฝรั่งเศส เฉือนชนะไปแบบสนุก 3-2
คู่นี้ใส่กันไฟแลบแน่นอน ต่างฝ่ายต่างมีทีเด็ดที่เกมรุก ใครจบสกอร์ได้เฉียบคมกว่าก็น่าจะเป็นฝ่ายเก็บชัยไปได้ โดย แฮร์รี เคน จะได้วัดคมกับ คีเลียน เอ็มบัปเป ให้รู้แล้วรู้รอดกันไป ดูแล้วถ้าต่างฝ่ายต่างเล่นกันอย่างระมัดระวังตัว เราอาจได้เห็นการต่อเวลาพิเศษ หรือเลยไปจนถึงช่วงดวลจุดโทษ
- คู่อื่นๆ ในวันเดียวกัน
โมร็อกโก พบ โปรตุเกส เวลา 22.00น. ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 และทรูสปอร์ต 2 ถ่ายทอดสด คู่นี้ ถึงแม้โมร็อกโก จะพลิกล็อกเอาชนะ สเปน ในการดวลจุดโทษ แต่การเข้ามาเจอกับ โปรตุเกส ที่กำลังมั่นใจสุดๆ หลังไล่ถล่ม สวิตเซอร์แลนด์ ขาดลอย 6-1 ถือเป็นงานสุดหินของยอดทีมจากทวีปแอฟริกา
ดูแล้ว "ฝอยทอง" โปรตุเกส ที่ไม่รู้คืนนี้จะมีคริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือไม่มี ก็ยังเหนือกว่าทุกด้าน ถ้าไม่ติดประมาทจนเกินไปก็ไม่น่ามีปัญหาที่จะเก็บชัยในเวลา 90 นาที โดยไม่ต้องไปลุ้นถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ หรือดวลจุดโทษ กรุยทางสู่การเข้าไปลุ้นคว้าแชมป์โลกหนแรกในประวัติศาสตร์