'ดร.ไตรรงค์' เล็กเชอร์การเมือง แนะประชาชนเลือกพรรคที่มีคนเลวจำนวนน้อยที่สุด ระบุสาเหตุที่นักลงทุนแห่ไปเวียดนามเพราะเขาปราบโกงอยู่หมัดไม่เหมือนไทยขนาดรัฐธรรมนูญไม่เต็มใบยังเลวกันได้ขนาดนี้
14 ก.ย.2565 - ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ไม่มีเอกภาพ รบที่ไหนแพ้ที่นั่น” ระบุว่า การที่รัฐธรรมนูญของไทย (2560) เปิดโอกาสให้มีพรรคการเมืองได้หลายพรรคนั้น ไม่ได้หมายความว่าเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่ไม่มีคุณภาพเพียงพอสามารถรวมกลุ่มสุมหัวกันเพื่อขอจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองกันอย่างมากมายก่ายกองอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (มีมากถึง 87 พรรค) แล้วลองสำรวจดูเถิดว่า แต่ละพรรคมีนโยบายอะไรที่แตกต่างไปจากพรรคอื่นอย่างมากมาย จนถึงขนาดต้องตั้งพรรคใหม่นั้นขึ้นมาให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการเลือกตั้ง
เพราะพรรคการเมืองหมายถึงกลุ่มชนผู้อาสาขออำนาจจากประชาชนเพื่อเข้าไปบริหารประเทศ แต่ประเทศของเรามีอยู่ถึง 20 กระทรวง นโยบายของแต่ละพรรคจึงควรมีให้ครบสำหรับทั้ง 20 กระทรวง ไม่ใช่มีนโยบายอยู่เพียงหนึ่งหรือสองเรื่อง แล้วไปขอจดทะเบียนพรรคฯเพื่อขอบริหารประเทศ มันจึงเป็นเรื่องที่น่ารำคาญอยู่ไม่น้อย
ถ้าเป็นกลุ่มชนผู้อาสาขอเข้าไปทำการบริหารประเทศตามนโยบายหนึ่งหรือสองเรื่องเพียงเท่านั้นแล้วทำไมจึงไม่ไปเจรจากับกลุ่มชนผู้อาสากลุ่มอื่นๆ เพื่อจะได้มีหลายๆนโยบายในการจัดตั้งพรรคการเมืองอย่างน้อยก็ต้องให้เกือบครบทั้ง 20 กระทรวง จะได้ไม่ต้องมีพรรคฯ มากเกินไป และทำให้เป็นพรรคฯ ที่สมบูรณ์ด้วยนโยบายของทุกกระทรวง มีแผนปฏิบัติการตามนโยบายต่างๆให้ดูเป็นเรื่องเป็นราว (พร้อมแสดงที่มาของเงินที่จะใช้จ่ายตามแผนฯ ด้วย) ประชาชนจึงจะสามารถตัดสินใจได้ว่า จะเลือกให้พรรคไหนนำประเทศในทุกมิติไปในทิศทางใด อนาคตของประเทศจะเป็นเช่นไร อย่างน้อยก็ควรจะอ่านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พ.ศ.2561-2580 ให้ละเอียดทุกบรรทัด ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ลงทุนทำกันอย่างเอาเป็นเอาตาย สมบูรณ์ในเกือบทุกมิติ แต่พรรคอาจจะมีความเห็นต่าง หรือความเห็นเพิ่มเติมในนโยบายของตนก็ได้ไม่ใช่คิดเพียงว่า ไม่ใช่พวกตนเขียนขึ้นมา จึงไม่อยากสนใจหรือไม่อยากให้ความสำคัญ อย่าลืมว่าประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลีใต้ และสาธารณรัฐประชาชนจีน เขามีความสำเร็จในการพัฒนาประเทศก็เพราะเขามียุทธศาสตร์ระยะยาวและก็เพราะเขาพยายามรักษาความต่อเนื่องของนโยบายที่ดีตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ โดยไม่ถือเขา ไม่ถือเรา อย่างที่ทำกันในเมืองไทย
แต่ปัญหาของเมืองไทย คือนักการเมืองล้วนมีอัตวิสัยสูง มีทิฐิมานะสูง อยากเด่นอยากดังสูง (เพราะมีกิเลสคือความอยากได้อยากเป็นสูง) เรียกง่ายๆ ว่าต่างก็อยากมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค กรรมการบริหารพรรค เพื่อจะได้พิมพ์ตำแหน่งไว้ในนามบัตรเพิ่มค่าตัว เอาไว้แจกพรรคพวกเพื่อให้เห็นว่าตนเองไม่ใช่คนธรรมดา และบางคนบางกลุ่มก็เพื่อจะได้ถือโอกาสไถเงินจากพรรคพวกที่พอจะมีเงินมากกว่าตน (ประเพณีการอ้างการเมืองไว้เพื่อเรี่ยไรเงินนี้ เริ่มจากกลุ่มการเมืองใด ก็พอจะรู้ๆกันอยู่ แต่ปัจจุบันมันชักจะเริ่มแพร่หลายกลายเป็นพวกขอทานที่มีเกียรติอยู่ในหลายๆ วงการโดยไม่รู้สึกอับอาย คือขอกันหน้าด้านๆ ว่างั้นเถอะ)
นักการเมืองจึงควรหัดปฏิรูปตัวเองเสียก่อนก่อนที่จะคิดไปปฏิรูปคนอื่นเขา เท่าที่เห็นกันอยู่มันมีอยู่หลายๆพฤติกรรมที่ไม่ได้ช่วยส่งเสริมการพัฒนาระบบการเมืองเลยแต่กำลังกลายเป็นตัวถ่วงในการพัฒนาทางการเมืองโดยเฉพาะการประกาศให้สัญญากับประชาชนว่าพวกตนจะทำให้ประชาชนรวยขึ้นหรือหายจนมันเป็นวาทะกรรมที่หลอกลวง เหมือนแขกขายยาที่หลอกให้คนมาดูงูเห่ากัดกับพังพอนอย่างไรก็อย่างนั้น
ถ้านักการเมืองของเราช่วยกันลดกิเลส ลดทิฐิมานะ #ลดความเป็นวีรชนเอกชน ต้องการอาสาเข้ามาเพื่อขออนุญาตจากประชาชนเพื่อบริหารประเทศตามนโยบายที่ครบเครื่องของทุกๆกระทรวง ส่วนจะเน้นนโยบายใดก่อนหลัง หรือให้ความสำคัญเรื่องใดมากน้อยกว่ากัน ก็จะเป็นเรื่องที่ดี ที่อย่างน้อยทำให้ประชาชนมีทางเลือกที่ชัดเจน ไม่ใช่เลอะเทอะไปหมดอย่างที่ทำกันในปัจจุบัน ประชาชนไม่รู้จะเลือกใครดี เพราะอาจจะชอบนโยบายหนึ่งหรือสองนโยบายที่พรรค ก ชูธง แต่อีกใจหนึ่งก็ชอบนโยบายหนึ่งหรือสองนโยบายที่พรรค ข ชูธง เลือกพรรค ก ก็เสียดายพรรค ข เลือกพรรค ข ก็เสียดายพรรค ก
ก่อนจะถึงวันเลือกตั้งในปีหน้า (ถ้ามี) ผมคิดว่าทุกพรรคคงมีนโยบายของทั้ง 20 กระทรวงแต่จะไม่มีความแตกต่างกันมาก อีกทั้งไม่มีทางจะแตกต่างกันมากกับ “ยุทธศาสตร์ชาติ 2561-2580” สิ่งที่ประชาชนจะเห็นความแตกต่างของพรรคฯ ต่างๆ จะมีใน 2 เรื่องเท่านั้นคือ…
#หนึ่ง พรรคที่ต้องการปฏิรูปประเทศด้วยความรุนแรง กับพรรคที่ต้องการปฏิรูปประเทศแบบไม่ต้องใช้ความรุนแรง คือไม่ต้องถึงกับยุคนให้เผาบ้านเผาเมือง ประชาชนชอบแบบไหนก็จงเลือกเอา
#สอง พรรคที่มีกลุ่มผู้นำที่มีประวัติทำความชั่ว โกงบ้านกินเมืองมาแต่ในอดีตในหลายๆ กรณีทั้งในชีวิตราชการ ชีวิตการทำธุรกิจ และชีวิตการทำงานทางการเมือง โดยประชาชนต้องเลือกพรรคที่มีคนเลวจำนวนน้อยที่สุดแต่อย่าคิดไปหาพรรคที่ไม่มีคนสีเทาเลยมันจะเคยมีอยู่บ้างในอดีตแต่ปัจจุบันมันหาไม่เจอหรอกครับ มีแต่มีน้อยกว่าหรือมีมากกว่าเท่านั้นเอง ไปงมสากกะเบือในมหาสมุทรเสียยังง่ายกว่า
(ข้อสอง นี้ประชาชนต้องวิเคราะห์ให้จงหนักเพราะปัญหาการถ่วงความเจริญของประเทศ (หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475) มิใช่เรื่องของนโยบายที่ไม่ต่อเนื่องและขาดยุทธศาสตร์ระยะยาวเพียงอย่างเดียว แต่ตัวถ่วงความเจริญที่หนักที่สุดของประเทศคือการโกงบ้านกินเมืองหรือที่เรียกกันว่าปัญหาคอร์รัปชัน ปัจจุบันได้ขยายออกไปทั้งทางกว้างและทางลึก ตั้งแต่ระดับกระทรวงถึงระดับกรมกองลามไปถึงราชการส่วนภูมิภาคเกือบทุกระดับและราชการส่วนท้องถิ่นเกือบทุกระดับเช่นเดียวกัน)
การที่ต่างชาติต้องหนีภัยสงครามการกีดกันทางการค้าของพวกมหาอำนาจ จึงต้องย้ายฐานการผลิตมาอยู่แถวๆประเทศอาเซียน จากตัวเลขที่ประกาศกันออกมา ต่างประเทศเลือกลงทุน (ใน 11 เดือนที่ผ่านมา) ในประเทศเวียดนามมากกว่าเลือกลงทุนในประเทศไทยถึง 2 เท่าตัวบางคนอธิบายสาเหตุกันตั้งหลายข้อ แต่ผมขอฟันธงว่า มีสาเหตุหลักๆอยู่เพียง 4 ข้อเท่านั้น
1. การเมืองในประเทศไทยมีแต่ความวุ่นวาย หารัฐบาลที่มีเสถียรภาพ สามารถให้ความมั่นใจในความต่อเนื่องของนโยบายค่อนข้างยาก มีแต่การบั่นทอนทำลายกันโดยทุกวิธีการเสมือนบ้านเมืองมีแต่จลาจลตลอดเวลา เวียดนามไม่มีปัญหาในเรื่องนี้
2. แรงงานเวียดนามค่าแรงถูกกว่าแรงงานไทย และมีประสิทธิภาพสูงกว่า
3. เวียดนามอยู่ใกล้จีนซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
4. #สำคัญที่สุด การปราบปรามการคอร์รัปชัน ประเทศเวียดนามทำได้ดีกว่าประเทศไทย
ผมเคยคุยกับชาวต่างชาติหลายคน สิ่งที่เขาบ่นกันมากก็คือ การเรียกเงินใต้โต๊ะมีทุกระดับทั้งระดับนักการเมืองและข้าราชการ ถ้าไม่รีบปราบปรามอย่างจริงจังนอกจากพวกคนโกงจะเหิมเกริมมากขึ้นทุกวันคนไทยเองก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าที่ควร ถ้าประชาชนตาบอดมองไม่เห็นผี ถ้าประชาชนตาบอดมองไม่เห็นเสือ เราอาจจะได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ประกอบไปด้วยคนขี้โกง มีความฉลาดในการโกงร่วมกับเพื่อนๆนักการเมืองและข้าราชการผู้พร้อมรับใช้เพื่อแลกกับตำแหน่งและน้ำข้าวน้ำแกงที่เขาเทใส่กะลาให้กินแล้ว ผมก็เกิดความสงสัยว่าเราจะมีประชาธิปไตยไปเพียงเพื่อให้นักการเมืองเลวใช้เงินสีเทามาซื้อชาติไปโกงกินย่ำยีกันเช่นนั้น เพื่ออะไรกันมิทราบครับ
ผมเชื่อในระบบรัฐสภาตามทฤษฎีประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์ แต่ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบที่เล่นกันอยู่ในประเทศไทย มันน่าจะเรียกว่า #ประชาธิปไตยแบบจอมปลอม เสียมากกว่าครับ เพราะล้วนแข่งกันทำผิดกฎหมายผิดจริยธรรมและผิดศีลธรรม นี่ขนาดไม่เต็มใบยังเลวกันได้ขนาดนี้ถ้าเกิดเต็มใบจริงๆขึ้นมา มันจะขนาดไหนครับ?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลอย่าเสี่ยง! แจงยิบทำไม 'MOU 44' เข้าข่าย รธน. มาตรา 178
นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อย่าเสี่ยงจงใจขัดรัฐธรรมนูญ! MOU 44 ต้องผ่านรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 178
ความจริง 'ชั้น 14' ชี้ชะตา 'รัฐบาลอิ๊งค์'
นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย และอดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อายุรัฐบาลขึ้นกับความจริงบนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ (รพ.ตร.)
เจออีกประเด็น เรืองไกร ร้อง กกต. สอบอุ๊งอิ๊ง ผิดจริยธรรมร้ายแรง
เรืองไกร ร้อง กกต. สอบ นรม. มีเหตุต้องพ้นจากรัฐมนตรีตาม รธน. ม.170 (4) ประกอบ ม.160(4)(5) หรือไม่
สอน 'เพื่อไทย' หัดเอาอย่าง 'อภิสิทธิ์' นักการเมืองรักษาสัจวาจา
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เพื่อไทย ไม่นิรโทษ มาตรา 112 ไม่แคร์มวลชน แต่แคร์พรรคร่วม
'นิกร' รับสภาพกฎหมายประชามติไม่ทันเลือกตั้งครั้งหน้าใช้ รธน.เดิม!
'นิกร' ระบุ พ.ร.บ.ประชามติ ไม่ทันเลือกตั้งท้องถิ่นต้นปีหน้า พ้อเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า ยังใช้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน
'สุวัจน์' แนะรัฐบาลอุ๊งอิ๊งอยากอยู่ครบเทอมต้องยอมรับการตรวจสอบ
โคราชกูรูการเมือง 'สุวัจน์' ชี้โพลเทอมรัฐบาล 4 ปี ที่สุดแล้วพี่น้องประชาชนเป็นคนตัดสิน เหน็บเมื่ออยู่ครบเทอมต้องมีผลงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แนะ'อุ๊งอิ๊ง'ต้องยอมรับการตรวจสอบ ดิอิมพอสซิเบิลอย่าใช้กับการเมืองไทย