ยก 'สวัสดิการข้าราชการ Vs ประชาชน' จวก 'พิธา' เน้นหาเสียงแต่แล้งน้ำใจ

6 มิ.ย. 2565 -​ นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง “สวัสดิการ ข้าราชการ Vs ประชาชน” โดยมีเนื้อหาดังนี้

ประเทศที่พัฒนาแล้วมักจะมีสวัสดิการทางสังคมที่ดีให้กับประชาชน รัฐสวัสดิการเป็นแนวคิดที่ประเทศทุนนิยมนำมาใช้เพื่อแก้ข้อบกพร่องของระบบทุนนิยม

กล่าวคือ การเก็บภาษีผู้มีรายได้สูงในอัตราที่สูง เพื่อนำไปใช้เป็นสวัสดิการสังคม แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ที่จะได้รับความช่วยเหลือจากสวัสดิการนั้น ต้องเป็นประชาชนผู้ที่เสียภาษีเช่นกัน

เพราะเงินภาษีเหล่านั้น จะกลับมาเป็นเงินทุนเพื่อให้รัฐมีรายได้นำไปใช้จ่ายในการจัดทำ “รัฐสวัสดิการ”เพื่อให้บริการสาธารณะต่าง ๆ แก่ประชาชน

นั้นหมายความว่า ถ้าประชาชนคนใดไม่เคยเสียภาษี(เงินได้)กับรัฐเลย ย่อมขาดคุณสมบัติในการได้รับ สวัสดิการจากรัฐ

รัฐสวัสดิการ หรือ welfare state หมายถึง รัฐหรือประเทศที่รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนส่งเสริมและจัดสวัสดิการสังคมให้แก่ประชาชนในประเทศอย่างจริงจังและเป็นระบบ

โดยให้ประชาชนได้รับบริการด้านต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล ที่อยู่อาศัย การคมนาคมขนส่ง ซึ่งบริการต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะเป็นบริการแบบให้เปล่าหรือคิดค่าบริการในอัตราต่ำ

ในวันที่จะเล่าถึงเฉพาะที่เป็นประเด็นข่าว เรื่องเงินบำเหน็จบำนาญและเบี้ยผู้สูงอายุ

•สวัสดิการข้าราชการ

รัฐบาลตั้งงบประมาณในปี 2566 จำนวนมาก 481,254.9 ล้านบาทเพื่อเป็นสวัสดิการข้าราชการ อันประกอบด้วย ข้าราชการประจำอยู่ราว 1.2 ล้านคน และเป็นข้าราชการบำเหน็จบำนาญเกษียณราชการราว 8 แสนคน นอกจากนี้ยังมีลูกจ้างชั่วคราว พนักงานราชการ และพนักงานจ้างของรัฐ ที่ไม่ได้เป็นข้าราชการจำนวน 7.6 แสนคน

• สวัสดิการประชาชน

รัฐบาลตั้งงบประมาณในปี 2566 เป็นสวัสดิการของประชาชน 468,850.4 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าของราชการเล็กน้อย สำหรับดูแลประชากรราว 60 กว่าล้านคน

• บำเหน็จบำนาญข้าราชการ Vs เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของประชาชน

ในจำนวนงบประมาณดังกล่าว, งบประมาณ 322,790 ล้านบาทถูกตั้งไว้เพื่อจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญสำหรับผู้เกษียณราชการราว 8 แสนคน เฉลี่ยคนละ 30,000 บาท/เดือน

ในขณะที่เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของประชาชนใช้งบประมาณ 87,580.1 ล้านบาท เพื่อจัดเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600-1,000 บาท/เดือน ตามช่วงอายุแก่ผู้สูงอายุ 10 ล้านคน

• พิธา อภิปราย เงินบำเหน็จบำนาญและเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เพื่อการเอาใจประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ แต่เทข้าราชการซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยในประเทศ เพื่อหวังคะแนนเสียง หรือไม่

นักการเมืองผู้เป็นฝ่ายค้านอย่างนายพิธา จับประเด็นนี้มาโจมตีรัฐบาล เพื่อหาเสียงกับคน 60 กว่าล้านคน โดยไม่เหลือน้ำใจให้กับข้าราชการ ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานราชการ พนักงานจ้างของรัฐและข้าราชการบำนาญ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ทำงานให้กับรัฐและให้บริการประชาชน ที่สำคัญเป็นกลุ่มคนที่ทำงานเพื่อตอบสนองนโยบายของข้าราชการการเมือง หรือ?

เป็นที่ทราบกันอย่างดีโดยทั่วกันว่า ข้าราชการ ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานราชการ พนักงานจ้างของรัฐ กินเงินเดือนที่ต่ำกว่าพนักงานบริษัทเอกชนตลอดอายุการทำงาน ซึ่งอัตราจ้างที่ต่ำกว่าราคาตลาดนี้ เป็นเหมือน….

** การหักเงินเดือนล่วงหน้าเพื่อสบทบทุนไว้เป็นสวัสดิการในภายหลัง**

ดังนั้น เงินบำเหน็จบำนาญหลังเกษียณ หรือสวัสการในการรักษาพยาบาล ก็คือเงินเดือนของข้าราชการ ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานราชการ พนักงานจ้างของรัฐ ที่ถูกหักเอาไว้รายเดือน นับตั้งแต่วันเริ่มงานจนถึงวันเกษียณ

ในขณะที่ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานกับหน่วยงานราชการนั้น เท่ากับไม่เคยทำประโยชน์กับงานราชการและไม่เคยถูกหักเงินใดๆ เพื่อสมทบทุนไว้เป็นเงินสวัสดิการในอนาคตเลย

แบบนี้นายพิธา จะพูดเอาใจประชาชนทั่วไปซึ่งถือว่าคนนอก แล้วทำร้ายจิตใจคนที่ทำงานให้กับรัฐและนักการเมือง ซึ่งถือเป็นคนใน อย่างนั้นหรือ?

เห็นตัวเลขข้าราชการ 2 ล้านคน กับประชาชน 60 กว่าล้านคน ก็เลยเลือกเอาใจ 60 กว่าล้านเสียงเพื่อหาคะแนนเสียง อย่างนั้นหรือ

ผมไม่ได้บอกว่า ให้ละเลยต่อสวัสดิการของประชาชน
ผมไม่ได้บอกว่า เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600-1,000 บาท/เดือน นั้นเพียงพอหรือเหมาะสม แน่นอนว่า ไม่เพียงพอ และควรจะเพิ่มขึ้น แต่มันต้องค่อยเป็นค่อยไป

ยอดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600-1,000 บาท/เดือน จะเพิ่มขึ้นได้นั้น ส่วนหนึ่ง ต้องมาจากการเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย จากประชาชนทุกคนที่มีหน้าที่เสียภาษี

นั้นหมายความว่า ในช่วงวัยทำงาน ประชาชนทุกคนที่มีหน้าที่เสียภาษี ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อการจ่ายภาษีให้ถูกต้องด้วย

ไม่ใช่ตลอดวัยทำงาน จ่ายภาษีต่ำกว่าความเป็นจริงหรือไม่จ่ายเลย แต่เมื่อเกษียณอายุแล้ว กลับมาเรียกร้องสวัสดิการจากรัฐ ทั้งที่ไม่จ่ายภาษีตามความเป็นจริงหรือไม่เคยจ่ายภาษีให้รัฐเลย

พิธากล่าวว่า หากทำบำนาญแบบไม่มีแหล่งรายได้เลย หนี้สาธารณะจะน่ากลัวมาก

ความจริงบำเหน็จบำนาญ มีแหล่งที่มาจากการหักภาษีจากข้าราชการและการจ่ายเงินเดือนที่ต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่งเปรียบเสมือนการหักเงินเอาไว้เป็นสวัสดิการล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว

ในขณะที่เบี้ยผู้สูงอายุ แทบจะไม่มีแหล่งรายได้เลย ดังนั้นหนี้สาธารณะจะน่ากลัวมากตามที่พิธากล่าวไว้ตั้งแต่ต้น

จริงหรือไม่!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เอ็ดดี้ อัษฎางค์' มีคำตอบให้! 'พิธา' ไม่เข้าใจทำไมกลายเป็นศัตรูเพื่อไทย

เอ็ดดี้-อัษฎางค์ ยมนาค อินฟลูเอ็นเซอร์การเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ไม่เข้าใจทำไมกลายเป็นศัตรูกับเพื่อไทย อัษฎางค์ ยมนาค มีคำตอบให้

ก้าวไกลแพ้! ศาลยกฟ้อง 'ณฐพร โตประยูร' แจ้งเท็จ-หมิ่น ล้มล้างการปกครอง

ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.308/2564 ที่พรรคก้าวไกล เป็นโจทก์ฟ้องนายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นจำเลยในความผิดฐานแจ้งความเท็จ,หมิ่นประมาทฯพร้อมเรียกค่าเสียหาย 20,062,475บาท   

รู้ไว้ซะ 'ปิยบุตร' เผย 'ทักษิณ' ได้กลับบ้าน เพราะก้าวไกลชนะเลือกตั้ง!

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันอีกครั้ง

'เอ็ดดี้' ชำแหละ! แผนรัฐบาลคุม 'แบงก์ชาติ' บรรลุ 6 เป้าหลัก

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "เอ็ดดี้ อัษฎางค์" ในหัวข้อ "อะไรคือจุดประสงค์ของการแทรกแซงแบงก์ชาติจากฝ่ายการเมือง"