'แพทองธาร' ปลื้มไทยได้รับเลือกเป็นคณะมนตรี UNHRC ด้วยคะแนนสูงสุด

นายกฯ รับรายงาน เวที UN โหวตให้ไทยเป็นคณะมนตรี UNHRC 1 ใน 18 ประเทศด้วยคะแนนสูงสุด

10 ต.ค.2567 - นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงาน จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่าประเทศไทยได้รับเกียรติในการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ วาระปี พ.ศ. 2568-2570 (United Nations Human Rights Council: UNHRC) จากการลงคะแนนเลือกตั้งในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ โดยการเลือกตั้งวาระ นี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ประเทศไทยได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนสูงสุดถึง 177 คะแนน ในกลุ่มประเทศเอเชีย – แปซิฟิก ซึ่งถือเป็นคะแนนสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ในภูมิภาค อันเป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไทยในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติในปัจจุบัน

นานจิรายุ กล่าวว่า ทั้งนี้ ประเทศไทยจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิก UNHRC ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 นี้ โดยจะมีวาระ 3 ปี ร่วมกับประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับเลือก รวมทั้งสิ้น 18 ประเทศ ได้แก่ ไทย เบนิน โบลิเวีย โคลอมเบีย ไซปรัสเช็ก คองโก เอธิโอเปีย แกมเบีย ไอซ์แลนด์ เคนย่า หมู่เกาะมาร์แชลล์ เม็กซิโก มาเซโดเนียเหนือ กาตาร์ สเปน เกาหลีใต้ และสวิตเซอร์แลนด์

“รัฐบาลเชื่อมั่นว่าการมีส่วนร่วมในฐานะสมาชิก UNHRC จะช่วยยกระดับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ พร้อมเสริมสร้างภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยการได้รับเลือกครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันประเด็นสิทธิมนุษยชนในเวทีโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะทำงานอย่างแข็งขันร่วมกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชน ร่วมกันต่อไป” นายจิรายุ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงเวทีอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

นายกฯ กล่าวถ้อยแถลงเวทีอนุภูมิภาค GMS ครั้งที่ 8 ชูแนวทางพัฒนาของไทยด้วยนวัตกรรมที่ครอบคลุมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสังคมที่มั่นคงและเท่าเทียม มั่นใจประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง สามารถพัฒนาร่วมกัน

'มาริษ' มั่นใจไม่ว่าใครเป็นประธานธิบดีสหรัฐความสัมพันธ์ก็ยังมั่นคงเหมือนเดิม!

'มาริษ' บอกไม่มีปัญหาใครมาเป็นหัวเรือสหรัฐฯ ความสัมพันธ์กับไทยยังมั่นคงชัดเจนเหมือนเดิม ตามนโยบาย 'นายกฯอิ๊งค์' ผลประโยชน์ต้องวินๆทั้งสองฝ่าย