เพจดัง ถอดบทเรียนประวัติศาสตร์ ทำไมการทำให้กองทัพอ่อนแอ คือการทำลายประเทศ

19 ก.ย.2567 - เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี เผยแพร่บทความเรื่อง "บทเรียนจากประวัติศาสตร์: ทำไมการทำให้กองทัพอ่อนแอ คือการทำลายประเทศ" มีเนื้อหาดังนี้ ที่ข้าพเจ้าเอาบทความทางทหารมาเล่าให้ฟังบ่อยขึ้นๆนั้นก็เพราต้องการให้ ทุกๆท่านตระหนัก “ให้ชัดเจน” ประเทศไทยของเรากำลังใกล้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า สงครามขนาดใหญ่ที่เข้ามาประกบเราซ้ายขวาหน้าหลังเวลานี้ นับวันจะยิ่งส่อเค้าว่าจะหลบหนีไปจากสงครามเป็นไปได้ยากอีกด้วย เนื่องจาก ภูมิรัฐศาสตร์ของไทยนั้น กำลังจะกลายเป็น รัฐกันชนกับสงครามใหญ่โต ระหว่าง จีนและสหรัฐฯ

และลองคิดดูสิว่า ในปี 2567 ถ้าหากประเทศเรามีกองทัพที่ไม่เข้มแข็ง ไม่พร้อมปกป้องบ้านเมือง ตอนที่มีศัตรูมารุกรานจะเป็นอย่างไร? คำตอบมันชัดเจนมาก: ประเทศจะเสี่ยงที่จะล่มสลาย ดังนั้น นี่คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ ไม่เพียงแต่ทำให้เราสูญเสียความสามารถในการป้องกันตนเอง แต่มันยังทำให้ประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งระดับโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ควรละเลยครับ
นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายนะครับ

ในปี 2567 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภัยสงครามที่ซับซ้อนและรุนแรงขึ้นจากความขัดแย้งระดับภูมิภาคและระดับมหาอำนาจ โดยเฉพาะในบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบันประเทศจีนได้ขยายอิทธิพลทางทหารในพื้นที่ทับซ้อน ณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาททางทะเล ระหว่างหลายประเทศ จนกลายเป็นพื้นที่สีแดงที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่าง ประเทศจีน และ ประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องใน ณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สหรัฐอเมริกา

การมีพื้นที่สงครามทางทะเลแปซิฟิกบริเวณ บริเวณหมู่เกาะ สแปลชลี่ย์ ตามหลักภูมิรัฐศาสตร์แล้ว นับเป็นทางออกทะเลทางเดียวของประเทศจีน จึงไม่แปลก ที่ จีนจำเป็นจะหาทางออกทางทะเล แห่งใหม่ เพื่อหลบ หรือ ซ่องสุมอำนาจกองกำลังทางทะเลเพื่อรักษาผลประโยชน์ของจีน ดังนั้น การสนับสนุน กัมพูชา และ พม่า เพื่อจัดสร้างระบบการขนส่งทางราง และ แม่น้ำ รวมไปถึงการพัฒนาฐานทัพเรือสำคัญๆให้สามารถรองรับ เรือดำน้ำ และเรื่องบรรทุกเครื่องบิน ก็เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำหรับจีน ในการการรักษาความมั่นคงในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยที่มีทรัพยากรสำคัญ และ เผชิญหน้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ระหว่าง พม่าและกัมพูชาก็อาจกลายเป็นสมรภูมิในสงครามระหว่างสองมหาอำนาจนี้

ขณะเดียวกัน เราชาวไทยก็กำลังพบเจอกับปัญหาอีกเรื่องเกิดจากแนวโน้มสงครามภายในพม่าทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดคลื่นผู้ลี้ภัยหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเอ็นจีโอ และฝ่ายการเมืองพยายามกดดันฝ่ายความมั่นคงไทยด้วยการกดดันให้ปล่อยให้ผู้ลี้ภัยล้นทะลักเข้ามา ซึ่งหากเกิดจริงสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมในไทย ผู้ลี้ภัยที่หลั่งไหลเข้ามานี้อาจเป็นชนวนของความไม่พอใจภายในประเทศ คล้ายกับเหตุการณ์ "อาหรับสปริง" ที่เคยเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นการประท้วงที่เกิดจากความไม่พอใจในระบบการจัดการและความไม่เท่าเทียม หากประเทศไทยไม่สามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจนำไปสู่ความวุ่นวายภายในที่ทวีความรุนแรงขึ้น.

จากทั้งสองปัจจัย เราจะเห็นได้ว่า มันกำลังจะเป็นสงครามที่ระเบิด จากภายใน และ ภายนอก ในเวลาไล่เลี่ยกัน ... ดังนั้นสิ่งที่เขียนอยู่นี่ ทุกคนจะต้องตั้งสติให้ดีๆนะครับ

.....................................

ข้าพเจ้าขอตัวอย่างที่อยากให้ลองฟังกัน เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายถึงสถานการณ์บ้านเมือง จึงขออนุญาต ยกข้อคิดมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับประวัติศาสตร์รัสเซีย มหาอำนาจใหญ่ที่เคยผ่านวิกฤติการณ์ลักษณะคล้ายๆกันนี้มาแล้ว

หากต้องพูดถึงประวัติศาสตร์รัสเซีย สิ่งที่จะต้องรู้คือ รัสเซีย แท้จริงแล้วเป็นชาติที่มี ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง เหมือนกับที่ใครบางคนเข้าใจว่า "เชื้อชาติรุส" (Rus)เป็นต้นกำเนิดของชนชาติรัสเซีย
เพราะ ข้อเท็จจริงแล้ว รัสเซีย เป็นดินแดนที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะเป็น สลาฟ, ตาตาร์, เชเชน และอื่น ๆ เขารวมกลุ่มคนหลากหลายให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งก็ไม่ต่างจากประเทศไทยของเราเลยครับ
ทำไมชาติรัสเซียถึงยิ่งใหญ่?

ในศตวรรษที่ 18 ภายใต้การปกครองของ ปีเตอร์มหาราช (Peter the Great) และ แคทเธอรีนมหาราช (Catherine the Great) จักรวรรดิรัสเซียได้ขยายอาณาเขตไปยังยุโรปตะวันออก, เอเชียกลาง, และไซบีเรีย การขยายอาณาเขตครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มพื้นที่ให้กับรัสเซีย แต่ยังรวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายเช่น ชนกลุ่มคอเคซัส, ตาตาร์, ชาวเติร์ก และอื่น ๆ ที่ถูกนำมาอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ การรวมชาติของเขามีความเข้มแข็งมากเพราะแม้ว่าจะมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่กลับมีวัฒนธรรมร่วมที่แข็งแรงมาก เช่นการใช้ ภาษารัสเซีย เป็นภาษากลางที่ทุกคนใช้สื่อสารได้ทั่วประเทศ ไม่ว่าคุณจะมาจากภูมิภาคไหน จึงทำให้ความหลากหลายนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรค แต่ทำให้รัสเซียแข็งแกร่งขึ้น

ปัจจุบัน หัวใจสำคัญของความสำเร็จ ในการสร้างชาติรัสเซีย นั้นก็คือ ความรักชาติ (Patriotism) ที่ปลูกฝังในคนรัสเซีย ท่ามกลางพวกเขาภูมิใจในความเป็นรัสเซียและพร้อมเสียสละเพื่อปกป้องชาติ ไม่ต่างจากไทยที่เราต้องปลูกฝังความรักชาติในทุกคน เพื่อให้เราสามารถเผชิญกับความท้าทายในอนาคตได้

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างย่อมมีจุดสูงสุดก็มีต่ำสุด ช่วงเวลาที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ในปี 1991 ซึ่งเกิดจากการที่ผู้นำในยุคนั้นอย่าง มิคาอิล กอบาเชฟ ทำให้กองทัพอ่อนแอ กองทัพโซเวียตสูญเสียพลังและงบประมาณจนไม่สามารถรักษาความมั่นคงของประเทศได้ และสุดท้ายก็เกิดการล่มสลายของรัฐยิ่งใหญ่นั้น นี่คือบทเรียนสำคัญที่ประเทศอื่น ๆ ต้องเรียนรู้
.............................
แล้วมันเกี่ยวกับประเทศไทยยังไง?

ประเทศไทยก็มีบทเรียนแบบเดียวกัน ถ้าเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ การที่กองทัพไทยเคยเข้มแข็งและปกป้องประเทศจากการรุกรานของเพื่อนบ้าน ทำให้เราสามารถคงอธิปไตยของเราไว้ได้ แต่นึกดูสิว่าถ้าวันหนึ่งเราปล่อยให้กองทัพของเราอ่อนแอลง เราจะเกิดอะไรขึ้น? แน่นอนว่า

ความเสี่ยงจะตามมา เช่น ความขัดแย้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงปัญหาใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นระหว่าง จีน กับ สหรัฐฯ ที่มีโอกาสใช้ อ่าวไทย และ พื้นที่ตลอดชายแดนอาจเป็นสมรภูมิได้

คิดดูนะว่า ถ้าประเทศเราไม่พร้อมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ เราอาจต้องสูญเสียทั้งอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ ไม่ต่างจากที่เคยเกิดขึ้นกับสหภาพโซเวียต
แล้วไทยจะทำยังไงต่อ?

สำหรับประเทศไทย บทเรียนจากรัสเซียสอนเราว่า ความเข้มแข็งของกองทัพและความรักชาติ (Patriotism) เป็นสองสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ หากเราละเลยสิ่งเหล่านี้ อนาคตเราอาจจะเป็นเหมือนโซเวียตในอดีตก็ได้ ความรักชาติและการสนับสนุนกองทัพที่แข็งแกร่งจะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง

เพื่อน ๆ ต้องเข้าใจว่า การมี กองทัพที่เข้มแข็ง ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังเตรียมพร้อมเพื่อทำสงคราม แต่เป็นการรักษาสมดุลของอำนาจในภูมิภาคและป้องกันประเทศจากภัยคุกคาม ถ้าเราอ่อนแอ ประเทศอื่นอาจใช้โอกาสนี้ในการแทรกแซง ดังนั้น การสนับสนุนกองทัพและปลูกฝัง

ความรักชาติในทุกคนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความมั่นคงของชาติเรา

สรุปคือ การทำให้กองทัพอ่อนแอ ก็คือการทำลายประเทศนั่นเอง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

งานวันเด็ก 2568 พื้นที่ทหารสุดคึกคัก เด็กยังให้ความสนใจเครื่องบิน-รถถัง-เรือรบ

สำหรับบรรยากาศงานวันเด็กแห่งชาติ ในส่วนของกองทัพ ไฮไลท์ยังคงเป็นที่ฝูงบิน 601 กองทัพอากาศ เขตดอนเมือง

'ผู้การติ๊บ' ลุยคุมเข้มสกัดภัยคุกคามทุกรูปแบบ รักษาอธิปไตยไทย

พ.อ.ณัฐกร เรือนติ๊บ หรือ “ผู้การติ๊บ” ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจราชมนู ซึ่งดูแลพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา 5 อำเภอชายแดน จังหวัดตาก (แม่สอด-ท่าสองยาง-พบพระ-อุ้มผาง-แม่ระมาด)

รวมไว้ให้แล้ว '3 เหล่าทัพ' จัดกิจกรรม 'วันเด็ก 2568' มีสถานที่ไหนเช็กได้เลย

ผู้สื่อข่าวรายงานการจัดกิจกรรมวันเด็กปีนี้ ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่11 ม.ค. ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.00 น. ในส่วนของ 3 เหล่าทัพ กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ และหน่วยในสังกัดต่างทั่วประเทศร่วม ขนอาวุธยุทโธปกรณ์จัดแสดง มีกิจกรรมและของขวัญให้คุณหนูๆมากมายทั่วประเทศดังต่อไปนี้

'ภูมิธรรม' เผยทหารกังวลถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง สั่งย้ายเพราะกลัวรัฐประหาร

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการเข้ามาทำงานในกระทรวงกลาโหมว่า ตอนที่เข้ามายังมีพื้นฐานความเข้าใจกอง

'บิ๊กเล็ก' ยันกองทัพไม่ได้อ่อนแอ รัฐบาลสั่งก็พร้อม ลั่นรบว้าแดงไม่ยาก แต่ผลกระทบเกินเยียวยา

พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยเมียนมา กรณีพื้นที่ที่มีการพิพาทเกิดขึ้นกับกลุ่มว้าแดงในขณะนี้ ว่า ประเด็นนี้ไม่ขอลงรายละเอียด

'บิ๊กเล็ก' คาดร่างพ.ร.บ.จัดระเบียบกลาโหม เสร็จอย่างช้า ก.พ.68

พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการตรวจเยี่ยมกองบัญชาการกองทัพบก ว่า เป็นไปตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีแ