กสม. สอบปมตำรวจเรียกรับเงิน-กระทำชำเราผู้ต้องหา

21 มิ.ย.2567 - น.ส.สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)​ เปิดเผยว่ากสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการยุติธรรม และสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายอันเข้าข่ายการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ระบุว่า เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี (ผู้ถูกร้อง) หลายนาย เข้าตรวจค้นและจับกุมผู้เสียหาย 2 ราย ในข้อหาครอบครองยาเสพติดให้โทษ หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านคลอง 5 จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้เสียหายไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็มประมาณ 300,000 บาท เพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี นอกจากนี้ยังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่เป็นผู้หญิงอีกด้วย จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 28 ได้ให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของบุคคล โดยเน้นย้ำว่าการทรมาน ทารุณกรรม หรือลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม จะกระทำมิได้ และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 5 บัญญัติว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจเพื่อให้ได้มาซึ่งคำรับสารภาพจากผู้ถูกกระทำย่อมมีความผิดฐานกระทำทรมานซึ่งสอดคล้องตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี

กสม. เห็นว่า พฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนประจำกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานีและสายลับในการเข้าควบคุมตัวผู้เสียหายทั้งสองโดยนำตัวไปขึ้นรถแยกกันคนละคัน พาวนไปตามจุดต่าง ๆ สลับกับไปจอดในที่มืดและมีการต่อรองให้ช่วยขยายผล ก่อนจะนำตัวไปที่ที่ทำการของกองกำกับการสืบสวน เป็นการกระทำอันมีลักษณะเป็นขบวนการ สมรู้ร่วมคิด แบ่งหน้าที่กันทำ ถือว่าเป็นการทำให้บุคคลทั้งสองสูญหายไปโดยไม่ทราบชะตากรรมชั่วขณะหนึ่ง และการที่ผู้ถูกร้องมีส่วนยินยอมให้บุคคลซึ่งเป็นสายลับนำตัวผู้เสียหายหญิงออกไปจากการควบคุมของเจ้าพนักงานโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายให้กระทำได้ นอกจากจะเป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผู้เสียหายจนเกินสมควรแก่กรณีแล้ว ยังเป็นการกระทำที่เข้าข่ายทำให้บุคคลสูญหาย ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประเด็นต่อมา การที่บุคคลซึ่งเป็นสายลับของผู้ถูกร้องนำตัวผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราและถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ถูกร้อง ต้องรู้เห็นการกระทำดังกล่าวด้วย อันเป็นการกระทำที่ละเมิดอย่างร้ายแรงต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผู้เสียหาย และเป็นการกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับเพศและความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งพนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องบุคคลซึ่งเป็นสายลับรายนี้ตามข้อหานี้ด้วยแล้ว อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ถูกร้องย่อมต้องมีความผิดฐานกระทำทรมานต่อผู้เสียหายหญิง และในฐานะเป็นเจ้าพนักงานกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จากการปล่อยหรือยินยอมให้สายลับรายดังกล่าวกระทำการเช่นนี้ด้วย

นอกจากนี้ การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ถูกร้อง ที่ไม่ได้แจ้งการควบคุมตัวต่อพนักงานอัยการและฝ่ายปกครองทันที รวมทั้งไม่ได้บันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับกุมและควบคุมตัวผู้เสียหายจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนหรือปล่อยตัวบุคคลดังกล่าวไป และไม่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว ยังไม่เป็นไปตามที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 กำหนดไว้ว่าให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะต้องปฏิบัติเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกจับกุมและควบคุมตัว ประเด็นนี้ จึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้เสียหายทั้งสองเช่นกัน

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2567 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสืบเนื่องจากคำร้องนี้ไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดยให้คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดดังกล่าวที่กระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายตามความเหมาะสมทั้งในรูปแบบทรัพย์สิน การฟื้นฟูสภาพจิตใจ และการเข้าถึงความยุติธรรม และให้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 22 และมาตรา 23 ในเรื่องการควบคุมตัว อย่างเคร่งครัด เพื่อคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการกระทำทรมานโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ และส่งเรื่องไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ด้วย

ทั้งนี้ ให้ส่งรายงานตามคำร้องนี้ไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาดำเนินการจากการกระทำที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ถูกร้อง มีส่วนรู้เห็นต่อการบังคับต่อรองเอาเงินจากผู้เสียหาย ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ส่อง'กฎหมายโลกร้อน' ควบคุม-เบิกทางปล่อยก๊าซ?

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสร้างผลกระทบทั่วโลก ไทยเจออากาศร้อนต่อเนื่องยาวนาน  น้ำทะเลอุ่นจนปะการังฟอกขาวทั้งอ่าวไทยและอันดามัน  สภาพอากาศร้อนและแล้ง ฤดูฝนล่าช้า ส่งผลพืชผักเสียหาย กระทบภาคเกษตร  ปัญหาเหล่านี้ย้ำเตือนถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่รุนแรงเพิ่มขึ้น  

กสม.ห่วงการละเมิดสิทธิเด็ก นักเรียนรุมทำร้ายกัน-ให้เด็กถอดเสื้อผ้าทำกิจกรรม

กสม. ห่วงการละเมิดสิทธิเด็ก กรณีนักเรียนรุมทำร้ายกันและการให้เด็กถอดเสื้อผ้าในการทำกิจกรรมในโรงเรียน ย้ำโรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย

กสม. จี้หน่วยงานรัฐ เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำพื้นที่สาธารณะ

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวทำร้ายร่างกายหมอที่ภูเก็ต คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน

เวทีเสวนา กสม. พอใจการบังคับใช้กม.ป้องกันการทรมานฯ หารือ ตร.พัฒนาโรงพักต้นแบบ

เวทีเสวนากสม. พอใจการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการทรมานฯแนะสร้างความตระหนัก เสริมการมีส่วนร่วม เข้าเป็นภาคี OPCAT พร้อมหารือ ตร. ยกระดับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาชั้นต้นธาร ร่วมพัฒนาโรงพักต้นแบบไร้การทรมาน

กสม. แนะ 'พ.ร.บ.อากาศสะอาด' เน้นปชช.มีส่วนร่วม ผู้ก่อมลพิษต้องจ่ายชดใช้

ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายชนินทร์  เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงว่า