ดับฝันเบอร์หนึ่ง 'เจ้าสมุทร' ประมงไทยถดถอย ทำลายล้างทะเล

เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติจับมือสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศและภาคีเครือข่ายจัดเสวนาสะท้อนเสียงภาควิชาการและภาคประชาชน“สู่การดูแลทะเลร่วมกันอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน” ต่อการแก้ไขกฎหมายการประมง  ซัดเป็นกฎหมายที่ถดถอยทำลายความยั่งยืนทางทะเล และเสี่ยงกระทบกับเศรษฐกิจ

9 มิ.ย.2567 – เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ, สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย และองค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดงานเสวนาทางวิชาการ “สู่การดูแลทะเลร่วมกันอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน” เพื่อสะท้อนข้อกังวลของภาควิชาการ ภาคประชาชน กลุ่มชาวประมงพื้นบ้าน รวมทั้งภาคอุตสาหกรรม ต่อการแก้ไขกฎหมายการประมง รวมถึงแลกเปลี่ยนมุมมองและวิเคราะห์ผลกระทบต่อร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง ที่ผ่านการรับหลักการจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2567  ที่ผ่านมาโดยมีมติเอกฉันท์ 416 เสียง

นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี สมาคมรักษ์ทะเลไทย และหนึ่งใน  กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมงฉบับดังกล่าวนี้กล่าวว่าพ.ร.บ.ประมงฉบับนี้ มี 8 กลุ่ม เรื่องได้แก่ 1.การผ่อนปรนบทลงโทษเชิงป้องกันที่ถูกออกแบบเพื่อขัดขวางการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) 2.การรื้อฟื้นการขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเลมาตรา 85/1 และมาตรา 87 3.การรื้อฟื้นการเปลี่ยนย้ายลูกเรือกลางทะเล มาตรา 83/1

 4.การลดทอนกลไกการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวังการทำประมง มาตรา 81(1) 5.การลดทอนกลไกเฝ้าระวังและคุ้มครองแรงงาน มาตรา 82 และมาตรา 83  6.ลดทอนการควบคุมเครื่องมือประมงทำลายล้าง มาตรา 67  7.ผ่อนคลายกฎระเบียบที่คุ้มครองสัตว์น้ำที่หายากหรือใกล้สูญพันธุ์ มาตรา 66  และ 8.ความพยายามกีดกันทางการค้าด้วยข้อกำหนดการนำเข้าและกำแพงการค้า มาตรา 97 สมาคมรักษ์ทะเลไทยระบุเพิ่มเติมว่า การแก้ไขกฎหมายประมงฉบับนี้จะไม่นำประเทศไทยกลับไปสู่การเป็นเจ้าสมุทร แต่เป็นการถดถอยของประมงไทยที่ทำลายความยั่งยืนทางทะเล และเสี่ยงกระทบกับเศรษฐกิจ

ขณะที่ ดร.อดิศร พร้อมเทพ ที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และอดีตอธิบดีกรมประมง ระบุว่า  การแก้ไขกฎหมายเป็นสิ่งที่ควรจะทำ แต่วันนี้สิ่งที่กำลังจะแก้ไม่ได้คำนึงถึงความยั่งยืนตนเองจึงมีคำถามว่าแก้ไปทำไม แก้ไปเพื่อใคร ตนเองไม่เห็นมีใครได้ประโยชน์ใดๆ จากการแก้ไขครั้งนี้ แม้กระทั่งประมงพาณิชย์ นอกจากนี้การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้มีหลายมาตราที่ดูแล้วขัดกับข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับ IUU เช่นรายละเอียดในมาตรา 141 ที่มีการลดโทษในการกระทำผิด มีความพยายามลดค่าปรับที่ได้เปลี่ยนจากแบบสัดส่วนตามขนาดเรือ มาเป็นอัตราค่าปรับคงที่เท่ากันทุกขนาดเรือ ซึ่งทำให้เรือเล็กได้รับผลกระทบมากขึ้น

ดร.อดิศร ระบุว่า ต่อมาคือการเก็บค่าธรรมเนียมนำเข้าสัตว์น้ำ ซึ่งอุตสาหกรรมทูน่าส่งออกของไทยจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าปลาทูน่า ซึ่งกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขนั้นมีการให้เก็บค่าธรรมเนียมนำเข้าสัตว์น้ำหรืออาหารทะเลทุกชนิดในอัตรา 20 บาท/กิโลกรัม อันนำมาซึ่งต้นทุนที่เพิ่มมามากขึ้นของภาคอุตสาหกรรมอาหารทะเล

“เราอยากเป็นเบอร์หนึ่งของโลก แต่วันนี้เราส่งออกทูน่ากระป๋องเป็นอันดับ 1 ของโลกมานานแล้วดังนั้นการแก้ไขกฎหมายที่กระทบต่อภาคอุตสาหกรรมแบบนี้ มันจะกระทบต่อเศรษฐกิจไปอีกหลายเรื่องรัฐบาลกำลังทำให้กฎหมายฉบับนี้ลุกลามกลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมทูน่าต่อภาคการผลิตและสินค้าส่งออกอื่นๆ  ทั้งห่วงโซ่อุปทาน รัฐบาลบอกว่าจะกลับไปเป็นเจ้าสมุทร เราจะเพิ่มจำนวนเรือได้อย่างไรในเมื่อสัตว์น้ำในทะเลเรามีอยู่แค่นี้ ถ้าเพิ่มขึ้นมันก็เกิดการแย่งทรัพยากรกัน” ดร.อดิศร ระบุ

ดร.พฤษา สิงหะพล มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (EJF) เสริมประเด็นผลกระทบต่อ FTA หรือเขตการค้าเสรี ที่ไทยพยายามเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหภาพยุโรป โดยภายใต้เงื่อนไขการเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรปการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ถือเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกกำหนดไว้ แม้สหภาพยุโรปจะไม่ใช่คู่ค้ารายใหญ่ในอุตสาหกรรมประมง ที่ถือครองสัดส่วนการส่งออกอาหารทะเลไม่ถึง 5% แต่ประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา และเกาหลีใต้ ที่ถือครองสัดส่วนการส่งออกรวมกันกว่า 60% ประเทศเหล่านี้ล้วนมีทิศทางในการกำหนดมาตรการการนำเข้าสินค้าอาหารทะเลจากไทย ไปในรูปแบบทิศทางเดียวกันกับสหภาพยุโรป คือการเพิ่มความโปร่งใส และปฏิเสธสินค้าที่เกิดจากการละเมิดสิทธิแรงงาน

“ต้องอย่าลืมว่า FTA ไม่ได้มีแค่เรื่องของประมง ยังมีอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่จะได้รับผลกระทบ ซึ่งหากเงื่อนไข IUU ไม่ได้รับการระบุอย่างเหมาะสมการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปก็เกิดขึ้นได้ยากรัฐบาลไม่สามารถละเลยกฎระเบียบระหว่างประเทศไปได้ เพราะปัจจัยสำคัญไม่ได้อยู่ที่การอำนวยความสะดวกให้ชาวประมงจับปลาได้มากขึ้น แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถขายสินค้าเหล่านั้นได้หรือไม่ เพราะถ้าหากประเทศคู่ค้าไม่ยอมรับสินค้าทางทะเลก็ไม่เกิดประโยชน์กับมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศ” ดร.ดร.พฤษา ระบุ

ขณะที่ ดร.กฤษฏา บุญชัย เลขาธิการสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ชวนมองว่ากฎหมายประมงที่กำลังปรับปรุงแก้ไขเปิดโอกาสให้เกิดการใช้ทะเลอย่างทำลายล้าง ยกตัวอย่างเช่น ความพยายามลดทอนเครื่องมือประมงแบบทำลายล้าง ตามมาตรา 67 ที่มีการถอนคำว่าอวนลากออก ถ้าเราใช้เครื่องมือประมงที่ทำลายล้างเราอาจจะคิดว่าประมงพื้นบ้านเสียประโยชน์ และประมงพาณิชย์ได้ประโยชน์ แต่จริงๆ มันคือการสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ดร.กฤษฏา ได้ขยายความว่าสิ่งที่ประมงพาณิชย์ต้องเผชิญไม่ใช่แค่กฎหมายไทย แต่ต้องเผชิญกับกฎหมายระหว่างประเทศที่จะนำสินค้าออกไปขาย ซึ่งโลกกำลังให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะต้องปรับไปสู่การรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ตนเองเห็นด้วยที่ควรแก้ไขกฎหมายแต่ต้องไม่หลงลืมมิติในเชิงอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลให้มากขึ้น รวมทั้งเน้นเรื่องเศรษฐกิจท้องถิ่นจากทรัพยากรทางทะเลมากขึ้น

ดร.กฤษฏา ได้กล่าวปิดท้ายในประเด็นเรื่องความยั่งยืนว่าประเทศไทยได้ลงนามสนธิสัญญาตั้งแต่ สนธิสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ ข้อตกลงเรื่องกรอบคุนหมิง-มอนทรีออล ที่ต้องขยายพื้นที่อนุรักษ์ทางชีวภาพทางทะเลให้ได้ 30% ซึ่งตอนนี้เราทำได้เพียง 7% หากมีการแก้ไขกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ไปทำลายระบบนิเวศความหลากหลายทางชีวภาพ มันจะกลายเป็นปัญหาที่ไม่เพียงแต่ทรัพยากรถูกทำลาย แต่เป็นการไปขัดกับข้อตกลงอื่นที่ประเทศไทยไปผูกพันไว้ด้วย

ด้านนายปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนของชาวประมงพื้นบ้านและเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พรบ.ประมงฉบับนี้ เขาให้ความเห็นว่าการประมงยั่งยืนเป็นแค่เรื่องวาทกรรม ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดไม่เคยคิดที่จะออกกฎหมายที่สอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว หนำซ้ำยังมีความทำลายประมงพื้นบ้านที่มองว่าไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ

นายปิยะ ระบุว่า ความสำคัญของประมงพื้นบ้าน ข้อมูลผลผลิตและมูลค่าสัตว์น้ำจากการประมงของประเทศไทยแสดงให้เห็นว่าในปี 2565  ประมงพาณิชย์มีผลผลิตสัตว์น้ำจากการประมงอยู่ที่  1,007,112 ตัน โดยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนเงิน  39,474  ล้านบาท ในขณะที่ประมงพื้นบ้านมีผลผลิตอยู่ที่  272,645 ตัน และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนเงิน 26,792 ล้านบาท โดยเมื่อหารเฉลี่ยราคาต่อตันประมงพาณิชย์จะอยู่ที่  39,195 บาท / ตัน ในขณะที่ประมงพื้นบ้านสามารถสร้างมูลค่าผลผลิตที่มากกว่าอยู่ที่ 98,267 บาท / ตัน

นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้เครื่องมือประมงพาณิชย์ยังคงทำประมงนอกเขตทะเลชายฝั่งอยู่ แต่ในอนาคตถ้าคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็น่าตกใจถ้าเครื่องมือประมงทำลายล้างพวกนี้ถูกอนุญาตโดยกรมประมงประจำจังหวัด หรืออนุญาตให้ทำประมงในเขตประมงชายฝั่งตามร่างพ.ร.บ.ประมงฉบับใหม่เครื่องมือประมงพื้นบ้าน ก็คงต้องสิ้นอาชีพกัน

“ผมเอาชีวิตของผมต่อสู้กับการทำประมงทำลายล้าง เราเอาชีวิตของเราเป็เดิมพัน แต่พรรคการเมืองไม่ได้ฟังเสียงประมงพื้นบ้านเลย คุณกำลังไปฟังสิ่งที่เป็นทุนนิยมล้าหลัง เราจะเป็นเจ้าสมุทร แต่คุณฟังผิดด้าน คุณไม่ได้ดูหลักสากล การทำประมงยั่งยืน เราพึ่งพาใครไม่ได้ในกรรมาธิการแม้แต่คนเดียว และอีกไม่นานเราจะเห็นการลดลงของสัตว์น้ำวัยอ่อนและการล่มสลายของประมงพื้นบ้าน และการประมงยั่งยืนเป็นแค่เรื่องวาทกรรม การประมงยั่งยืนไม่มีจริงในแนวทางปฏิบัติ ”นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยระบุ

ด้าน น.ส.เพ็ญพิชา จรรย์โกมล ตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG)  แสดงความเป็นห่วงถึงเรื่องการละเมิดสิทธิของแรงงานประมงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารูปแบบของการละเมิดจะเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบการค้าทาสสมัยใหม่มีการยึดหน่วงเอกสารประจำตัว รูปแบบการจ่ายค่าจ้างที่ซับซ้อน การสร้างภาระหนี้สินให้กับแรงงาน ตลอดถึงการเกิดอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตขณะทำงาน

กตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG)  กล่าวเพิ่มเติมว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มองแรงงานเป็นหนึ่งในนั้นโดยการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้มีความพยายามนำเรื่องของแรงงานแยกออกไป ทั้งที่จริงแล้วแรงงานเป็นกลุ่มสำคัญในการดำเนินกิจกรรมประมง นอกจากนี้ยังมีการรื้อฟื้นการขนย้ายลูกเรือกลางทะเล ตามมาตรา 82 และ 83/1 เป็นการเปิดช่องว่างให้มีการขนถ่ายลูกเรือ โดยเป็นเหตุผลของการยืดระยะเวลาของการทำงานของลูกเรือกลางทะเลให้นานออกไปมากขึ้น

น.ส.เพ็ญพิชา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า รวมทั้งร่างกฎหมายทุกฉบับกำหนดให้เรือประมงไม่จำเป็นต้องแจ้งจำนวนรายชื่อและหนังสือคนประจำเรือ หรือหลักฐานการอนุญาตของคนประจำเรือที่จะออกไปพร้อมกับเรือประมง การแก้ไขข้างต้นทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิแรงงานประมง เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบว่าเรือลำดังกล่าวได้ใช้แรงงานประมงอย่างถูกกฎหมายหรือไม่

ตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG)  กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากประเด็นข้อกังวลที่ทุกฝ่ายได้นำเสนอไปแล้ว ตนเองยังมีข้อกังวลเพิ่มเติมจากเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม ที่ได้ออกจดหมายแสดงความเป็นกังวล ทั้งการออกใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์กับการนิรโทษกรรมผู้เคยทำประมงผิดกฎหมายที่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตเกินกว่าสองปีสามารถกลับมาขอออกใบอนุญาตได้อีกครั้งหนึ่ง การเปิดโอกาสให้มีการขนถ่ายสัตว์น้ำได้ทั้งประมงในและนอกน่านน้ำไทยซึ่งมีความเสี่ยงในการทำประมงเกินขนาด การจับปลาด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมายซึ่งไม่สามารถตรวจสอบที่มาของปลาได้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พบแล้วร่างเด็กวัยรุ่น จมน้ำสูญหายหาดสุรินทร์ มอบญาตินำไปบำเพ็ญกุศล

วามคืบหน้ากรณีเด็กวัยรุ่นชาวไทย 4 คน ลงเล่นน้ำที่หาดสุรินทร์ อำภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ในช่วงเย็นวันที่ 13 ก.ค.67 คลื่นได้ซัดจมน้ำ

ทัพเรือภาค 3 ส่ง ฮ.ขึ้นบิน ค้นหาเด็กวัยรุ่นจมน้ำสูญหายหาดสุรินทร์ 

ทัพเรือภาคที่ 3 ได้สนับสนุนการค้นหาช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล โดยให้ หน่วยรักษาความปลอดภัยทางทะเล กองทัพเรือ เกาะภูเก็ต (นรภ. ทร.ก. ภูเก็ต) จัดกำลังพลพร้อมยุทโธปกรณ์ ปฏิบัติการ

กรมอุตุฯ ประกาศฉบับ 6 เตือน 50 จว. ฝนตกหนัก อันดามันเรือเล็กงดออกจากฝั่ง

กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศฉบับที่ 6 เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย และคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามัน

'เบคกี้ รีเบคก้า' ทุ่มสุดตัวฝึกฟรีไดฟ์ 4 เดือน ได้ 'สายป่าน อภิญญา' ช่วยเทรนด์

หลังจากเปิดตัวภาพยนตร์ เรื่อง "URANUS2324" (ยูเรนัส2324) ภาพยนตร์อวกาศเรื่องแรกของไทย ผลงานมาสเตอร์พีซของบริษัท เวลเคิร์ฟ สตูดิโอ ที่จับมือกับบริษัท GM Generates ก็เป็นกระแสพูดถึง โปรดักชันสุดยิ่งใหญ่ ที่สามารถเนรมิตสถานีอวกาศ ขนาดเทียบเท่าของจริงจนเป็นไวรัลกระฉ่อนโซเชียล

ดร.ธรณ์ ห่วงสถานการณ์เกาะร้องไห้ ลามขยายวงหลายจังหวัด ‘อ่าวไทย-อันดามัน’

เกาะร้องไห้แบบนี้ไม่ได้มีแห่งเดียว แต่มีเพียบเลย  ภาคตะวันออก เรื่อยไปถึงชุมพร สุราษฎร์ ยาวไปถึงสงขลา เกาะที่อยู่ใกล้ฝั่งเกือบทั้งหมดกำลังร้องไห้ ข้ามไปอันดามัน ตรัง กระบี่ สตูล หลายเกาะชายฝั่งเจอฟอกขาวรุนแรง