16 ม.ค.2567 - นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย กล่าวถึง ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฉบับ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่มีประเด็นสำคัญหายไปจากร่าง พ.ร.บ.กัญชา ฉบับกรรมาธิการ ที่ผ่านสภาวาระแรกมาแล้ว คือ สิทธิการปลูกในระดับครัวเรือนเพื่อส่งเสริมการใช้ตามภูมิปัญญา ซึ่งหลักกการสำคัญคือ ในฐานะที่กฎหมายระดับพระราชบัญญัติเป็นกฎหมายแม่บทของกัญชาไทย เราจึงควรติดตั้งทิศทางสำคัญของกัญชาไว้ใน พระราชบัญญัติกัญชา เพื่อให้การพัฒนาในอนาคตเป็นไปอย่างมีทิศทาง
นายประสิทธิ์ชัย กล่าวว่า จุดแข็งประการหนึ่งของโลกตะวันออกในการใช้กัญชาคือการใช้กัญชาตามภูมิปัญญา โดยประชาชนใช้กัญชาในการทำยาและเป็นส่วนประกอบของอาหารเป็นยามานับพันปี หากต้องการให้กัญชาไทยมีความชัดเจนเรื่องการใช้กัญชาทางการรักษา ก็จะต้องมีมาตรการสนับสนุน แต่กฎหมายกัญชาของรัฐบาลแทบไม่ได้ชี้ทิศทางอนาคตกัญชาไทย เพราะสิ่งที่เขียนใน พ.ร.บ.คือมาตรการบังคับ แม้จะอ้างว่าเป็นไปเพื่อการแพทย์และสุขภาพ แต่ใน พ.ร.บ.กลับไม่มีสักมาตราที่ระบุให้กระทำหรือส่งเสริมให้ทำเพื่อการใช้และวิจัยกัญชาทางการแพทย์หรือการใช้ตามภูมิปัญญา ในร่าง พ.ร.บ.กัญชาฉบับกรรมาธิการชุดที่แล้ว ยังระบุทิศทางไว้ชัดกว่า ว่าส่งเสริมการใช้ตามภูมิปัญญา และให้สิทธิในการปลูกกัญชาปรุงยาเฉพาะรายสำหรับหมอพื้นบ้าน แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาชัดเจนว่า เพื่อให้ประชาชนใช้กัญชาตามภูมิปัญญาเพื่อการรักษา
“เมื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แม้จะกำหนดให้คนไทยปลูกกัญชาได้ แต่กลไกที่ใช้นั้นมิได้แยกระหว่างการค้าขายกับการส่งเสริมภูมิปัญญา และเมื่อดูบทลงโทษที่เขียนไว้แล้ว คนปลูกแบบไม่ขออนุญาตยังถูกลงโทษน้อยกว่าคนที่ขออนุญาต มาตรการเช่นนี้เท่ากับส่งเสริมให้คนไม่ขออนุญาต
ฉะนั้นหากจะทำให้กัญชาคือการแพทย์และสุขภาพก็จงกำหนดมาตรการให้ชัดมิใช่ว่าเขียนไว้เพื่อดูสวยงาม เพียงแค่เขียนว่าห้ามใช้เพื่อสันทนาการแล้วตีความว่านี่คือ พ.ร.บ.กัญชาทางการแพทย์ มันง่ายไปหน่อยไหมครับ” เลขาธิการเขียนอนาคตกัญชาไทย กล่าว
ด้านนายเดชา ศิริภัทร หรือหมอเดชา ผู้ก่อตั้งมูลนิธิข้าวขวัญ กล่าวว่า ทราบมาว่า ขณะนี้รัฐบาล (กระทรวงสาธารณสุข) ได้ร่าง พ.ร.บ.กัญชา ฉบับใหม่เสร็จแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอน รับฟังความคิดเห็นของประชาชน ก่อนนำเสนอ คณะรัฐมนตรีหลังจากนั้น จึงส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร 3 วาระ แล้วส่งให้ วุฒิสภา พร้อมทั้งระบุว่า รายชื่อยาเสพติด ที่ (เป็นโทษ)ร้ายแรงที่สุด 10 ชนิด ไม่มีชื่อ กัญชา อยู่ในนั้นเลย
แต่มี แอลกอฮอล์ (เช่น เหล้า เบียร์) อยู่ในอันดับ 5 และ บุหรี่ อยู่ในอันดับ 9 น่าแปลก ที่กฎหมายไทย ไม่ถือว่า แอลกอฮอล์ (เหล้า เบียร์)และ บุหรี่ เป็นยาเสพติด ปล่อยให้มีขายกันทุกสถานที่ แม้แต่ในร้านสะดวกซื้อ และนำไปใช้เพื่อ สันทนาการเท่านั้น
นายเดชา กล่าวด้วยว่า รัฐบาลนี้ ยังมีนโยบายผ่อนปรน ให้มีเหล้าท้องถิ่น เพิ่มขึ้นแล้วยัง ขยายเวลาเปิดสถานบริการไปจนถึง ตืสี่ อีกด้วย นั่นหมายถึง ขยายเวลาให้มีการดื่มแอลกอฮอล กันมากขึ้นอีก นั่นคือ รัฐบาลส่งเสริม สนับสนุนให้คนไทย เสพยาเสพติดร้ายแรงที่สุดอันดับ 5 มากขึ้น และเป็นการ "เสพยาเสพติด" ร้ายแรงที่สุด อันดับ 5 เพื่อ"สันทนาการ" เท่านั้น แม้แต่ยาบ้าที่ยังถือว่าเป็นยาเสพติด ก็ยังผ่อนผันให้ครอบครองได้ 5 เม็ด และถ้าถูกจับข้อหาเสพยาบ้า(ซึ่งเป็นยาเสพติดตามกฎหมาย) ก็ถูกลงโทษน้อยกว่ากัญชา
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่คนไทยส่วนใหญ่ จึงคัดค้าน พ.ร.บ.ฉบับใหม่ และอยากรับฟังคำชี้แจง อย่างเป็นทางการจากรัฐบาล ถึงเหตุผลที่ผลักดัน พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะยังมองไม่เห็นเหตุผลอื่นเลย นอกจากทำตามกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์จากกัญชา
นายเดชา กล่าวอีกว่า ช่วงปีกว่าที่กัญชาออกจากบัญชียาเสพติด ข้อมูลต่างๆได้ปรากฏอย่างชัดเจน เช่น มีผู้เลิกดื่มแอลกอฮอล์ มากกว่า 1 ล้านคน มีผู้เลิกสูบบุหรี่ มากกว่า 1 ล้านคน เลิกเสพยาบ้าอีกมากมาย แม้หาตัวเลขแน่นอนไม่ได้ แต่ดูได้จากราคายาบ้าที่ถูกลงมาก ยอดขายยาหลายอย่าง ก็ลดลงมาก เช่น ยาแก้ปวด ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาเบาหวาน ยาลดความดัน ยากันชัก ยาพาร์คินสัน ยาไมเกรน รวมถึงยาเคมีบำบัด(คีโม) ยังมีกลุ่มผู้เสียประโยชน์ อีกหลายกลุ่ม ต่างต้องการกำจัด กัญชา เพราะกัญชา ทำให้พวกเขาขาดรายได้ จากคนไทย ที่ใช้กัญชาแทนนั่นเอง ทำไมไม่นำ พ.ร.บ.กัญชา ที่เคยผ่านมติสภาผู้แทนราษฎร วาระแรกมาแล้ว มาพิจารณาต่อ ทั้งที่ผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการ ซึ่งมีตัวแทนของทุกพรรค ร่วมพิจารณาด้วยและส่งกลับให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาในวาระที่ 2 แต่เกิดการยุบสภาฯเสียก่อน
“ตัวแทนของทุกพรรคที่เป็นรัฐบาลชุดนี้ ต่างก็เคยอยู่ในคณะกรรมาธิการชุดนั้นมาแล้ว เหตุใดจึงเสนอร่าง พ.ร.บ.กัญชา ฉบับใหม่ ที่มีเนื้อหาต่างจากเดิม อย่างหน้ามือกับหลังเท้าถ้ารัฐบาลยังดึงดัน พยายามผลักดัน พ.ร.บ.กัญชา ฉบับใหม่นี้ ออกมาบังคับใช้กับคนไทย อยากเตือนว่า อย่าประเมินคนไทยต่ำเกินไปนัก ถ้าถูกรังแกโดยไม่เป็นธรรม จนทนไม่ไหว ก็อย่าหวังว่าจะยอมให้รังแกได้ตลอดไป อยากให้ไปหาจำนวนคนไทย ที่ปลูกและเคยใช้ประโยชน์จากกัญชา ในช่วงที่ผ่านมาก่อน แล้วลองคิดต่อว่า ถ้าคนไทยกลุ่มนั้น สัก 10 เปอร์เซ็นต์ ออกมาขับไล่รัฐบาล ก็จะมีจำนวนมากกว่า ม็อบนกหวีด ไม่น้อยกว่า 3 เท่า อย่างแน่นอน ซึ่งพรรคเพื่อไทยเคยโดนมาแล้ว” นายเดชา กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ชลน่าน' แจงไม่ได้โกรธ 'พิเชษฐ์' แค่เห็นทำหน้าที่แบบมึนๆเลยอยากช่วยให้ทำถูกข้อบังคับ
'ชลน่าน' แจงหลังวีนใส่ 'พิเชษฐ์' บอกไม่ได้โกรธ แค่เห็นทำหน้าที่แบบมึนๆไปไม่ถูก เลยอยากช่วยให้ทำถูกข้อบังคับ ยัน ไม่มีปัญหาอะไรกัน ไม่ต้องเคลียร์
บทเรียน '18 บอส ดิไอคอน' โดนจับ 'สัจธรรม' ในธรรมะ แสดงผล ถูก 'อสรพิษ' ทำร้าย
นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า วันนี้ (17 ตุลาคม 2567) เป็นวันออกพรรษา นับเป็นวันมงคลของชาวพุทธฯ
'หมอเดชา' โอด ผู้ป่วยคนไทย คงหวังพึ่งน้ำมันกัญชาฯ จากภาครัฐบาล ไม่ได้
นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ กระตุก นายกฯอิ๊งค์ ปท.ไม่ใช่ของเล่น ต้องฝึกสติเร่งด่วน
การดำรงตำแหน่งสำคัญสูงสุดของฝ่ายบริหาร สมควรต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ เมื่ออยู่ในพิธีการ หรืออยู่ต่อหน้าสาธารณชน
ข้องใจพรรคก้าวไกล-ประชาชน ไม่โพสต์ถวายพระพรฯ จี้ให้ชี้แจง พรรคที่ไม่จงรักภักดี
นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า
'แม้ว-เหลิม-แจ๊ส' สะท้อนสัจธรรม ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ศัตรูที่น่ากลัวที่สุด ก็คือ คนที่อยู่ใกล้ชิด
นายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) โพสต์เฟซบุ๊กถึงความขัดแย้งระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร กับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ว่า