นายกฯ ประกาศพร้อมเดินคู่มังกรจีน!

นายกฯ ประกาศพร้อมเดินคู่กับพี่ใหญ่จีน มั่นใจปี 2024 จีดีพีประเทศขยายตัวได้สูงกว่าปีที่ผ่านมา ลั่นรัฐบาลนี้เปิดกว้างสำหรับการลงทุน

19 ต.ค.2566 - ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ 3 ในการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ โดยเวลา 09.00 น. ที่โรงแรม Kerry นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมงาน Thailand-China Investment Forum จัดโดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment - BOI) นายกฯ กล่าวว่า การเดินทางมาสาธารณรัฐประชาชนจีนครั้งนี้ ตนมีความยินดีอย่างยิ่งและขอขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ไทยและจีนมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม มีการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างกันมาตั้งแต่อดีต และมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่สืบเชื้อสายมาจากเชื้อชาติจีน โดยในปี 2023 ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนจะครบรอบ 48 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน ดำเนินมาอย่างราบรื่น มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำระดับสูงมาตลอด และที่สำคัญยิ่งคือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ

นายกฯ กล่าวว่า เมื่อปีที่ผ่านมา ไทยและจีนครบรอบ 10 ปี ความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามและประกาศใช้แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย - จีน ฉบับที่ 4 (ปี 2022 - 2026) และแผนความร่วมมือระหว่างไทย - จีน ว่าด้วยการร่วมกันส่งเสริมเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกัน แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นและตั้งใจของสองประเทศที่จะร่วมมือกันในระดับยุทธศาสตร์การเยือนประเทศจีนในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อเข้าร่วมการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation ครั้งที่ 3 ซึ่งข้อริเริ่ม Belt and Road Initiative (BRI) เป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในหลากหลายมิติทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และด้านวัฒนธรรม รวมถึงยังมีส่วนสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในกลุ่มอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ และยังก่อให้เกิดการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน และอำนวยประโยชน์ระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่ตามแนวยุทธศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 60 ประเทศ มีประชากรอยู่ในเส้นทางเชื่อมโยงประมาณ 4,400 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 63 ของประชากรโลก

นายกฯ กล่าวว่า ประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาเชียนที่สามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางภายใต้ BRI ทั้งทางบกและทางทะเล จึงตระหนักถึงโอกาสในการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างประเทศไทยกับจีนปัจจุบันไทยมีเส้นทางถนน R3A ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังคุนหมิง ทางน้ำมีการเดินเรือในแม่น้ำโขงและการเดินเรือสมุทรระหว่างไทยกับจีนส่วนทางอากาศก็มีเส้นทางบินตรงจากเมืองใหญ่หลายเมืองของจีนมายังประเทศไทยด้วย ทั้งนี้รัฐบาลไทยมีแผนจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งอย่างเต็มรูปแบบทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ เพื่อเพิ่มโอกาสด้านการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว ซึ่งจะยกระดับระบบคมนาคมขนส่งของไทย ก่อให้เกิดการกระจายความเจริญไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ และสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่หรือทรัพยากรได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงเป็นโอกาสดีที่ไทยและจีนจะยกระดับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นรัฐบาลไทยจะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบเศรษฐกิจ และจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่าไทยมีบุคลากรที่ มีศักยภาพ มีความพร้อม และความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ สำหรับการค้าและการลงทุนแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน

นายเศรษฐา กล่าวว่า ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและสังคม และมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ทุกประเทศจึงจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ประเทศไทยเล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ ได้แก่ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมสีเขียว ปัญญาประดิษฐ์ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยจะมีการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนา Startup ที่มีศักยภาพให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก เพื่อให้เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นการยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ของไทยนั้นสอดคล้องกับนโยบาย Made in China 2025 ของจีน ซึ่งเปลี่ยนรูปแบบการผลิตโดยเน้นคุณภาพ มีการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นายเศรษฐา กล่าวว่า ในระดับภูมิภาค จีนและไทยได้ร่วมลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งมีประเทศอาเชียน 10 ประเทศ และประเทศนอกอาเชียนอีก 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ความตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาการค้าขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมประมาณร้อยละ 30 ของ GDP โลก ซึ่งจะทำให้ไทยได้รับสิทธิยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากรศุลกากร ดังนั้น การเข้ามาทำการค้าการลงทุนกับประเทศไทยจึงเป็นโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากความตกลงดังกล่าว นอกจากความตกลง RCEP แล้ว จีนและไทยมีกรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - จีน ซึ่งส่งผลให้ภาษีสินค้านำเข้าเป็น 0 มากกว่าร้อยละ 90 ของรายการสินค้าทั้งหมด โดยตั้งเป้าในการปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติมในหมวดสินค้าอ่อนไหว รวมถึงการเปิดเสรีและคุ้มครองการลงทุน ซึ่งคาดว่าการเจรจาจะแล้วเสร็จในปี 2024 เพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจไปสู่การเป็นฐานการผลิตและตลาดเดียวกัน อันจะนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างยิ่งขึ้น

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ไทยมีที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ในอาเซียน โดยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ของภูมิภาค การเข้ามาทำธุรกิจการค้าและการลงทุนกับไทย จึงไม่เพียงแค่รองรับประชากร 67 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงประชากรกว่า 620 ล้านคนในอาเชียน และหากนับรวมความร่วมมือในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เช่น RCEPจะยิ่งส่งเสริมบทบาทไทยในฐานะจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทางเศรษฐกิจของภูมิภาคทั้งนี้ ไทยพร้อมมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในการเสริมสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิภาค

นายกฯ กล่าวว่า ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ขอย้ำว่า ไทยพร้อมมีบทบาทเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์ ได้กระชับความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ ให้แน่นแฟันยิ่งขึ้นผ่านการค้าและการลงทุน รัฐบาลไทยจะใช้ความร่วมมือระหว่างประเทศหรือข้อตกลงทวิภาคีและพหุภาคีในการส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับมิตรประเทศ
โดยยังยึดมั่นในการเสริมสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของการไว้วางใจ การให้เกียรติและการเคารพซึ่งกันและกัน

“สำหรับภาพรวมด้านเศรษฐกิจของไทย ในปี 2022 ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP)ของไทยเติบโตร้อยละ 3.4 ส่วนในปี 2023 แม้จะมีปัจจัยท้าทายจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ด้วยความพยายามของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว(Nisa Free) และการผลักดันให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว เช่น การชักจูงการลงทุนจากบริษัทชั้นนำระดับโลก คาดว่าจะทำให้ GDP ของไทยในปี 2024ขยายตัวได้สูงกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา”นายเศรษฐา กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ในด้านการค้า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทย ตัวเลขการค้าระหว่างไทย - จีนในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2023 มีมูลค่าประมาณ 5 แสนล้านหยวน และอยากเห็นการค้าไทย - จีนขยายตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีสินค้าจีนผ่านประเทศไทยไปยังที่อื่น ๆได้ด้วย โดยมีศักยภาพที่จะขยายขอบเขตและประเภทสินค้าได้อีกมาก และอยากให้ประเทศจีนซื้อสินค้าจากประเทศไทยมากขึ้นด้วย

นายเศรษฐา กล่าวว่า ในด้านการลงทุนจากต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2018 - เดือนกันยายน 2023ประเทศจีนเป็นผู้ลงทุนอันดับหนึ่งของไทย มูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 1 แสนล้านหยวน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ที่ผ่านมามีค่ายรถยนต์ชั้นนำของจีนหลายแบรนด์เข้าไปตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะช่วยอำนวยความสะดวกและดูแลนักลงทุนจีนเป็นอย่างดี

นายกฯ กล่าวว่า การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลไทย รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยปรับปรุงขั้นตอนการขอวีซ่าและยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังผลักดันการพัฒนาระบบบริหารจัดการการให้บริการ ได้แก่การปรับปรุงระบบคมนาคมทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ โดยเฉพาะการปรับปรุงสนามบินและการจัดการเที่ยวบินทั่วประเทศเชื่อมโยงเมืองหลักและเมืองรองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งจะเพิ่มปริมาณเที่ยวบินให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยว
ได้มากขึ้น

นายกฯ กล่าวว่า สำหรับนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวอันดับต้นของประเทศไทยนั้นในช่วงเดือนมกราคม - สิงหาคม 2023 มีนักท่องเที่ยวจีนไปเยือนไทยแล้วประมาณ 2.2 ล้านคน ซึ่งไทยมีมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวจีนเป็นพิเศษตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยหวังว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางไปไทยมากขึ้นในช่วงปลายปีนี้จนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีนในต้นปีหน้าซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว โดยนอกเหนือจากการท่องเที่ยวในสถานที่โด่งดังของไทยเช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ แล้ว

“ผมขอเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวจีนไปท่องเที่ยวในเมืองรองซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ผมขอย้ำว่า ประเทศไทยมีความปลอดภัยและยินดีต้อนรับการเดินทางของทุกท่าน เราพร้อมดูแลและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจีนอย่างเต็มที่” นายเศรษฐากล่าว

นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลไทยยังมีนโยบายสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์หรือชอฟต์พาวเวอร์ เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและสร้างความเชื่อมั่นของไทยต่อเวทีโลก โดยผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ของไทยสู่ระดับสากลด้วยการทูต ในเชิงวัฒนธรรม ยกระดับและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย สร้าง 1 ครอบครัว 1 ชอฟต์พาวเวอร์ ผ่านคอนเทนต์11 อุตสาหกรรม อีกทั้งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญคือ ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไทยจึงต้องการพัฒนาและนำเทคโนโลยีไปใช้เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เปลี่ยนจากเกษตรกรให้กลายเป็นผู้ประกอบการอีกทั้งยังเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมีส่วนร่วมในการลดภาวะโลกร้อนและสร้างเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการเงินและการลงทุนสีเขียว

นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลไทยมีแผนที่จะเสริมสร้างสังคมดิจิทัลโดยนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการทำงาน ควบคู่ไปกับการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีนโยบายเปิดรับแรงงานต่างชาติและกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้เข้ามาสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อตอบสนองความต้องการทรัพยากรบุคคลและแรงงานทั้งในภาคการผลิต การบริการ และ
การพัฒนาเทคโนโลยี

ในด้านการศึกษา ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายของนักศึกษาไทยจำนวนมากที่มาศึกษาต่อ จึงหวังว่าจะผลักดันความร่วมในการพัฒนาหลักสูตรความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของประเทศไทยกับจีนให้มากขึ้นซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมสำหรับการพัฒนาการค้าการลงทุนร่วมกันจึงขอเชิญชวนนักลงทุนและบุคลากรทักษะสูงจากจีน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีเข้ามาดำเนินธุรกิจหรือทำงานในประเทศไทย

นายเศรษฐา กล่าวว่า การเดินทางมาเยือนจีนครั้งนี้ นอกจากมีผู้แทนจากภาครัฐแล้ว ยังได้นำคณะนักธุรกิจไทยที่มีศักยภาพและสนใจจะสร้างเครือข่ายทางธุรกิจมาด้วย หวังว่างานสัมมนาในวันนี้จะมีส่วนช่วยเชื่อมโยงภาคเอกชนไทยและจีน กระตุ้นให้เห็นโอกาสด้านการค้าการลงทุน และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างกันมากยิ่งขึ้น รัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการให้โครงการ Land Bridge เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อมโยงในภูมิภาค และเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางหลักของการขนส่งสินค้าและห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคและระดับโลก

“ผมในฐานะผู้นำรัฐบาลไทย ขอให้ความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน เพื่อที่จะสามารถส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมระหว่างไทยกับจีน พร้อมที่จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพราะความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ไม่เพียงเอื้อประยชน์ให้แก่สองประเทศเท่านั้นแต่จะช่วยส่งเสริมให้ภูมิภาคเอเชียก้าวสู่ความก้าวหน้าและรุ่งเรืองอย่างยั่งยืน

ในช่วงท้ายนายกฯ กล่าวว่า ขอประกาศว่าประเทศไทยเปิดแล้ว เราพร้อมที่จะให้นักลงทุนจีนเข้ามาร่วมพัฒนาประเทศและรัฐบาลพร้อมที่จะนำนักลงทุนไทยออกมาร่วมกับรัฐบาลเพื่อมาเชื้อเชิญนักลงทุนจีนและนักลงทุนอีกหลายประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยไปจนถึงจุดที่ควรมีศักยภาพ และเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมารัฐบาล ได้มีการอนุมัติให้ศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมต่อระหว่างอันดามันกับอ่าวไทย มีระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร โดยจะเชื่อมต่อโดยรถไฟ การลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่สูงมากและจะเป็นเมกกะโปรเจคระดับโลก จะย่นระยะการเดินทางที่ต้องขนถ่ายสินค้าผ่านช่องแคบมะละกา ลงได้6-9 วัน ซึ่งในอนาคตช่องแคบมะละกาจะมีความหนาแน่นในเรื่องการขนถ่ายสินค้าธุรกิจอยู่มาก การที่ไทยมีดำริเริ่มทำแลนด์บริดจ์ตรงนี้ จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั่วโลก ไม่ใช่แค่จะเอาเมืองไทยเป็นทางผ่านของสินค้าเพียงอย่างเดียว การสร้างฐานผลิตที่เมืองไทยพร้อมไปกับโครงการแลนส์บริดจ์ที่จะเป็นเมกะโปรเจกต์ระดับโลก จะทำให้นักลงทุนจากทั่วโลกมีความมั่นใจที่จะเข้ามาสร้างฐานการผลิตที่เมืองไทย

"วันนี้ผมขอเชื้อเชิญนักลงทุนจากประเทศจีนเข้ามาดูโปรเจ็คนี้ มาร่วมกันพัฒนาและพูดคุยเพื่อที่จะทำให้โครงการนี้สำเร็จสัมฤทธิ์ผลโดยเร็วที่สุด วันนี้ประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาลนี้ เปิดกว้างสำหรับการลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีนซึ่งถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลพร้อมทำงานให้เกิดความสะดวกในการทำธุรกิจ เราจะมีคณะกรรมการเข้ามา ที่จะทำให้เกิดความง่ายในการทำธุรกิจมีความสะดวกสบายขึ้น จะไม่ใช่เป็นแค่วาทะกรรมเฉยๆ ที่สัญญาว่าจะทำให้การทำธุรกิจง่ายขึ้น แต่จะเป็นการทำให้มันง่ายขึ้นจริงๆ นำความสะดวกสบายยึดหลักธรรมาภิบาล ทำให้นักธุรกิจสามารถเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยได้อย่างกว้างขวาง และผมเชื่อมั่นว่าหลายท่านที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้มีเชื้อสายจีนรวมถึงตัวผมเองกว่าครึ่งหนึ่ง เราเป็นพี่น้องกัน เรามาทำค้าขายกัน เรามีมิตรไมตรีที่ดีให้ต่อกันมาโดยตลอด ประเทศไทยแม้เป็นประเทศที่เล็กแต่มีศักยภาพสูง เราเป็นน้องคนหนึ่งของประเทศจีน ซึ่งจะช่วยกันเดินไปข้างหน้าควบคู่ไปกับพี่ใหญ่ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก เราขอร่วมเดินทางไปกับประเทศจีนบนเส้นทางที่ท้าทายและทำให้โลกของเราเจริญรุ่งเรืองต่อไป" นายกรัฐมนตรีกล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ สั่ง ปปง.เร่งยึดทรัพย์แก๊งค้ายา

นายกฯ นั่งหัวโต๊ะ สั่ง ปปง.มีอำนาจพิเศษสูงต้องทำงานแบบล้วงลูก เร่งยึดทรัพย์ตัดตอนขบวนการค้ายาฯ อย่ามัวแต่ช้า หวั่นโอนเงินหนี กำชับอย่าทำงานแบบไซโลให้เป็นข้อครหา

'เศรษฐา' ฟุ้งเตรียมถกมะกันตัดตอนยาเสพติด

นายกฯ มอบอุปกรณ์ป้องกันและตอบโต้กลุ่มผู้ค้ายาเสพติด ย้ำให้ความสำคัญถือเป็นความปลอดภัยเจ้าหน้าที่ กำชับดูแลการจ่ายรางวัลนำจับเหมาะสม ไม่ใช่รอนานจนเกษียณถึงได้ เตรียมคุย 'ทูตมะกัน' ตัดตอนยาบ้า

งงตรรกะประหลาด 'อานันท์' มี 'พล.อ.สุนทร' ได้ 'เศรษฐา 'ก็มี 'ทักษิณ' ให้คำปรึกษา

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักจัดรายการวิทยุ โทรทัศน์ และประธานกรรมการนโยบายขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส โพสต์ข้อความว่า