กสม.แนะราชทัณฑ์ประกันสิทธิการรักษาพยาบาลผู้ต้องขัง

กสม. สอบปมร้องเรียน จนท.เรือนจำละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ผู้ต้องขังป่วย แนะกรมราชทัณฑ์ประกันสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขัง

07 ก.ย.2566 - นายพิทักษ์พล บุณยมาลิก เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)​ เปิดเผยว่า กสม.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่งซึ่งเป็นอดีตผู้ต้องขังในเรือนจำกลางเพชรบุรี เมื่อเดือน ธ.ค. 2565 กล่าวอ้างว่า ผู้ร้องเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง ต้องใช้ยารักษาเป็นประจำทุกวัน เมื่อปี 2564 ผู้ร้องถูกจับกุมดำเนินคดีและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางเพชรบุรี ภรรยาของผู้ร้องได้นำยารักษาโรคซึมเศร้าจากโรงพยาบาลมาให้ผู้ร้อง แต่เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางเพชรบุรี (ผู้ถูกร้อง)ได้ยึดยาดังกล่าวไว้ทั้งหมด ต่อมาผู้ร้องมีอาการหูแว่ว คลุ้มคลั่ง และทำร้ายตัวเอง จึงขอยาระงับอาการดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่เรือนจำปฏิเสธ และพยาบาลของเรือนจำกลางเพชรบุรีใช้ถ้อยคำหยาบคายตะโกนต่อว่าผู้ร้อง และนำยาชนิดหนึ่งมาฉีดเข้าร่างกายซึ่งไม่แจ้งให้ผู้ร้องทราบว่าเป็นยาชนิดใด โดยใช้กำลังทำร้ายร่างกายเพื่อฉีดยาดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายผู้ร้องจนหมดสติไปหลายวัน ปัจจุบันผู้ร้องได้จำคุกครบกำหนดตามคำพิพากษาของศาลแล้ว แต่เห็นว่าถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า สิทธิในความปลอดภัยในชีวิตและร่างกาย เป็นสิทธิและเสรีภาพที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 28 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 7 การทรมาน หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้ โดยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องขังนั้น ข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งองค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง (Mandela Rules) วางหลักไว้ว่า ระบบราชทัณฑ์ต้องประกอบด้วยการปฏิบัติต่อนักโทษ โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะให้นักโทษกลับตัวและฟื้นฟูทางสังคม การให้บริการด้านการรักษาพยาบาลแก่ผู้ต้องขังเป็นความรับผิดชอบของรัฐ โดยผู้ต้องขังควรได้รับการรักษาพยาบาลตามมาตรฐานเช่นเดียวกับที่รัฐจัดให้กับประชาชนอื่น และจะต้องสามารถเข้าถึงบริการที่จำเป็นโดยไม่คิดมูลค่าและไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสถานภาพด้านกฎหมายของตน เรือนจำทุกแห่งพึงมีสถานบริการรักษาพยาบาล อันมีหน้าที่ประเมิน ส่งเสริม คุ้มครอง และพัฒนาสุขภาพกายและจิตใจของผู้ต้องขัง โดยเฉพาะการให้ความใส่ใจเป็นพิเศษต่อผู้ต้องขังที่ต้องการการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ หรือมีปัญหาสุขภาพที่กระทบต่อการบำบัดฟื้นฟูของตน

กรณีตามคำร้องมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า เจ้าหน้าที่เรือนจำได้กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ร้อง กรณีไม่อนุญาตให้นำยารักษาโรคประจำตัวเข้าเรือนจำ ใช้ถ้อยคำหยาบคาย และทำร้ายร่างกายผู้ร้องหรือไม่ จากการตรวจสอบพบว่า ยังไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าผู้ร้องได้นำยารักษาโรคติดตัวมา ณ วันที่ถูกคุมขัง และไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำไม่อนุญาตให้นำยารักษาโรคประจำตัวเข้าเรือนจำตามที่กล่าวอ้าง ส่วนกรณีที่ระบุว่ามีการใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้ร้องนั้น พบว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำใช้กำลังกับผู้ร้องจริง แต่เป็นไปเพื่อควบคุมผู้ร้องให้อยู่ในความสงบเพื่อให้การรักษา เนื่องจากผู้ร้องมีอาการขัดขืนและอยู่ในภาวะที่อาจทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นได้ และยาที่นำมาฉีดให้ผู้ร้องนั้น เป็นยาที่ใช้สำหรับกรณีผู้ป่วยมีพฤติกรรมก้าวร้าวเพื่อให้สงบตามแนวทางการดูแลผู้ป่วยจิตเวชฉุกเฉินของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการทำร้ายร่างกายผู้ร้อง

สำหรับกรณีที่ผู้ร้องระบุว่าพยาบาลของเรือนจำใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อผู้ร้อง ปรากฏว่า พยานบุคคล 2 ราย ที่ผู้ร้องอ้างประกอบการร้องเรียนให้ข้อเท็จจริงไปในทางเดียวกันว่า ได้ยินเสียงพยาบาลของเรือนจำใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อผู้ร้องซึ่งสอดคล้องกับผลการตรวจสอบของกรมราชทัณฑ์ ในชั้นนี้จึงเห็นว่า เป็นการปฏิบัติที่ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องขัง อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์ได้มอบหมายให้กองบริหารทรัพยากรบุคคลดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับสั่งการให้เรือนจำกลางเพชรบุรีกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในสังกัดทุกคน โดยภายหลังพยาบาลรายดังกล่าวได้ย้ายไปสังกัดที่เรือนจำจังหวัดอื่นแล้ว ซึ่งกรมราชทัณฑ์ได้กำชับไปยังเรือนจำจังหวัดดังกล่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่และการให้การสงเคราะห์แก่ผู้ต้องขัง ให้กระทำด้วยกิริยาวาจาที่เหมาะสมไม่เป็นการดูหมิ่น เหยียดหยามและประพฤติให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อยู่ในความควบคุม รวมทั้งให้ยึดถือและปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนที่ทางราชการกำหนดไว้โดยเคร่งครัดต่อไปแล้ว จึงถือเป็นเรื่องที่มีการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมแล้ว

อย่างไรก็ดี กรณีการรักษาพยาบาลผู้ต้องขังที่เป็นผู้ป่วยในเรือนจำ กสม. มีความเห็นเพิ่มเติมว่า กรณีที่กรมราชทัณฑ์ตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่พยาบาลของเรือนจำกลางเพชรบุรีให้ยาแก่ผู้ร้อง แต่ไม่ได้มีการบันทึกการรักษาพยาบาลตั้งแต่แรกโดยอ้างข้อจำกัดด้านการติดต่อประสานงานในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด 19 และเริ่มมาบันทึกข้อมูลในระบบหลายเดือนให้หลัง นอกจากเป็นการไม่ปฏิบัติตามหนังสือกรมราชทัณฑ์ ที่ ยธ 0705.4/326 ลงวันที่ 3 ม.ค.2562 เรื่อง กำชับการดูแลรักษาผู้ต้องขังป่วยตามแนวทางปฏิบัติที่กรมราชทัณฑ์กำหนดแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาลอาการเจ็บป่วยให้แก่ผู้ต้องขังรายอื่น อันเนื่องมาจากการบันทึกข้อมูลในระบบที่ไม่เป็นปัจจุบัน จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะต่อกรมราชทัณฑ์เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ กรณีโรงพยาบาลแก่งกระจานไม่สามารถจ่ายยารักษาโรคซึมเศร้าให้แก่ผู้ร้องขณะที่ถูกคุมขังในเรือนจำได้ในทันที เนื่องจากสิทธิการรักษาของผู้ร้องที่เป็นสิทธิประกันสังคมอยู่นอกเขตพื้นที่ จนกระทั่งระยะเวลาผ่านไปหลายเดือน โรงพยาบาลแก่งกระจานจึงจ่ายยาให้กับผู้ร้อง แม้เรือนจำกลางเพชรบุรีจะแก้ไขปัญหาระหว่างที่ยังไม่ได้รับยาของโรงพยาบาลแก่งกระจานด้วยการนำยารักษาอาการโรคซึมเศร้าที่มีอยู่ในคลังยาของสถานพยาบาลเรือนจำไปจ่ายให้แก่ผู้ร้อง แต่อาจมีผู้ต้องขังรายอื่นในเรือนจำหรือทัณฑสถานแห่งอื่นที่ประสบปัญหาในลักษณะเดียวกันกับผู้ร้องด้วย ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิในการรักษาพยาบาลให้แก่ผู้ต้องขังในภาพรวม เห็นควรมีข้อเสนอแนะต่อกรมราชทัณฑ์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานประกันสังคมเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

จากเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 4 ก.ย 2566 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะให้กรมราชทัณฑ์เน้นย้ำและกำชับเจ้าหน้าที่ของเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ ปฏิบัติตามหนังสือกรมราชทัณฑ์ ที่ ยธ 0705.4/326 ลงวันที่ 3 ม.ค. 2562 เรื่อง กำชับการดูแลรักษาผู้ต้องขังป่วยตามแนวทางปฏิบัติที่กรมราชทัณฑ์กำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องบันทึกข้อมูลการให้การรักษาพยาบาลในระบบให้ครบถ้วนเป็นปัจจุบัน นอกจากนี้ให้สำนักงานประกันสังคมหารือร่วมกับกรมราชทัณฑ์ และกระทรวงสาธารณสุข พิจารณาแก้ไขข้อขัดข้องเกี่ยวกับสิทธิในการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ที่ไม่อาจใช้สิทธิกับสถานพยาบาลที่เรือนจำหรือทัณฑสถานแห่งนั้นตั้งอยู่ในทันที

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทั่วโลกจับตา! 'คดีตากใบ' สะท้อนไทยล้มเหลว ปล่อยละเมิดสิทธิมนุษยชนซ้ำ

แอมเนสตี้ฯ ประเทศไทย หวั่นคดีตากใบหมดอายุความ กลายเป็นใบเบิกทางละเมิดสิทธิมนุษยชนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก ชี้ชัด ทั่วโลกจับตาดูอยู่ เชื่อจะเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงบนเวทีสาธารณะระหว่างประเทศต่อเนื่อง

วัดใจแพทองธาร 'วรงค์' ส่งตัวแทนบุกทำเนียบฯ จี้ 'นายกฯ' นำ 'พ่อนายกฯ' เข้าคุก

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี เปิดเผยว่าตนได้มอบตัวแทน ไปยื่นหนังสือเรื่อง "ขอติดตามความคืบหน้าการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย" ถึง

'ราชทัณฑ' แจงภาพ 'บอสกันต์' แต่งกายในชุดนักโทษมาจากละคร ไม่ใช่ของจริง

เพจประชาสัมพันธ์ กรมราชทัณฑ์ โพสต์ข้อความระบุว่า เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2567 ตามที่เพจเฟซบุ๊ก ใช้ชื่อว่า “เรื่องเด่นข่าวดัง” ได้มีการเผยแพร่ภาพของ “กันต์ กันตถาวร”แต่งกายในชุดนักโทษ

กม.ไทยเข้าถึงยึดทรัพย์หมด

ราชทัณฑ์ร่อนหนังสือชี้แจงอาการ 18 ผู้ต้องหาดิไอคอน เผยสภาพความเป็นอยู่และระเบียบการตัดผมผู้ต้องขังชายไว้รองทรงสูง ส่วนผู้ต้องขังหญิงสามารถไว้ผมยาวเลยบ่าได้

ราชทัณฑ์ แจงข่าว 'บอสกันต์-แซม' เจอ 'เมธี' อดีตดาราในคุก แค่เห็นหน้า ไม่ถึงกับโผกอด

จากกรณีเพจ “คุยกับณชิตเมธี” ออกมาโพสต์ “กันต์และพี่แชม กอดคุณเมธีใหญ่เลย ฯลฯ″ และล่าสุดได้ออกมาเฉลยที่นายเมธี อมรวุฒิกุล หรือ นายณชิต