ถอนสภาพที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ 2 จังหวัด

7 ธ.ค.2564 - เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ.2564

โดยที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 4 ไร่ 10 ตารางวา บางส่วน โดยมีเนื้อที่ที่ถอนสภาพประมาณ 3 งานในท้องที่ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เนื่องจากที่ดินสาธารณประโยชน์ “สระใหญ่โบราณขอนทอง” ในท้องที่ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเป็นแหล่งน้ำอุปโภคและบริโภค และทางราชการ ได้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ ปข 0761 ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2555 เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ 10 ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวแล้ว สมควรถอนสภาพที่ดินดังกล่าวจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันบางส่วน เนื้อที่ประมาณ 3 งาน เพื่อมอบหมายให้องค์การบริหารส่วนตำบลหินเหล็กไฟใช้เป็นที่ตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอนุบาลหัวหิน

นอกจากนี้เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ยังเผยแพร่พระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 3 ไร่ 30 ตารางวา บางส่วน โดยมีเนื้อที่ที่ถอนสภาพประมาณ 2 ไร่ 1 งาน 17 ตารางวา ในท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด

เนื่องจากที่ดินสาธารณประโยชน์ “สระสิม” ในท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นที่ดินสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันในการอุปโภคบริโภค เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ 30 ตารางวา ปัจจุบันพลเมืองได้เลิกใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินดังกล่าวแล้ว สมควรถอนสภาพที่ดินดังกล่าวจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันบางส่วน เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ 1 งาน 17 ตารางวา เพื่อมอบหมายให้เทศบาลเมืองร้อยเอ็ดใช้เป็นที่ตั้งศูนย์บริการและส่งเสริมสุขภาพประชาชนสระสิม

อ่านต้นฉบับ 

32 35

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประกาศแล้ว! หลักเกณฑ์-วิธีตรวจสอบนโยบายที่ต้องใช้เงินของพรรคการเมืองในการโฆษณา

ต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบนโยบายที่ต้องใช้จ่ายเงิน

ราชกิจจาฯ ประกาศปรับฐานค่าจ้างคำนวณเงินสมทบประกันสังคม ม.33 เริ่ม 1 ม.ค. 2569

กฎกระทรวงใหม่กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ-ขั้นสูง ใช้เป็นฐานคำนวณเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยปรับเพดานสูงสุดเป็นลำดับ จาก 17,500 บาท เพิ่มเป็น 23,000 บาทในระยะถัดไป มีผลตั้งแต่ต้นปี 2569

ราชกิจจาฯ ประกาศอนุญาตแรงงาน 'ลาว-เมียนมา-เวียดนาม' อยู่ไทยและทำงานได้เป็นกรณีพิเศษ

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติลาว เมียนมา และเวียดนาม