เมืองกาญจน์เปิดฉากเดือด! สจ.คนดัง โร่แจ้งความ ถูกกลุ่มลึกลับ ประกบจอดรถปาดหน้าปิดท้าย บังคับลงรถ อ้างตรวจค้นหา ยาเสพติดและอาวุธ ระบุเป็นการกลั่นแกล้งข่มขู่ทางการเมืองฝ่ายอำนาจรัฐ
23 เม.ย.2566 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนิติกร แสงทอง หรือ สจ.เบ๊นซ์ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 888/1 หมู่ 11 ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี สมาชิกสภา อบจ.กาญจนบุรี เขตอำเภอเมืองกาญจนบุรี และ นายพรรษา สายทอง หรือ สจ.โก๊ะ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 51 หมู่ 10 ต.ท่าไม้ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี สมาชิกสภา อบจ.กาญจนบุรี เขต อำเภอท่ามะกา เดินทางมาที่สภ.เมืองกาญจนบุรี
เพื่อเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ร.ต.อ.ชัยรัตน์ จันทร์อนันต์ รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองกาญจนบุรี ว่า เมื่อวันที 22 เม.ย. 66 เวลาประมาณ 13.00 น. ขณะนายนิติกรขับขี่รถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ ทะเบียน ป้ายแดง ก-1772 กาญจนบุรี โดยมีนายพรรษานั่งโดยสารข้างคนขับ มาจาก ตำบลลาดหญ้า มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองกาญจนบุรี เมื่อถึง สามแยกท่าพะเนียด ต.แก่งเสี้ยน อ.เมือง จังหวัดกาญจนบุรี ได้รับสัญญาณไฟจรจราจรไฟแดง จึงหยุดรถ ขณะนั้นได้มีกลุ่มบุคคล ขับขี่รถยนต์ อีซูซุ กระบะ 4 ประตู สีเทา จำนวน 1 คัน และรถยนต์ อีซูซุ มิวเอ็กซ์ สีดำ จำนวน 1 คัน จำนวนประมาณ 5-6 คน โดยรถยนต์กระบะดังกล่าว ขับมาปากหน้าส่วน รถยนต์ มิวเอ็กซ์ ปิดท้าย แล้ว กลุ่มบุคคลดังกล่าว ก็ลงมาจากรถ พร้อมกับพูดว่า ลงจากรถ
นายนิติกร ระบุว่า ตนเองได้สอบถามว่า มีอะไร ก็มีบุคคลดังกล่าว บอกว่า มีคนแจ้งมาว่า ในรถมีปืนกับยาเสพติด ตนเองจึง บอกว่า ไม่มี เป็น สจ. อายคน ให้ย้ายรถออกจากสามแยกไฟแดงก่อน เพื่อหลบรถ แต่มีบุคคล สั่งให้นายพรรษาลงจากรถ แล้วจูงมือ นายพรรษาเดินไปริมถนน แล้ว ก็มีบุคคลจำนวน 2 คน ขึ้นรถ ด้านข้างคนขับ กับด้านหลังคนขับ ประกบตนเอง ให้ขับไปจอดริมถนน
นายนิติกร ระบุว่า ตนเองสอบถามว่า มาจากหน่วยไหน เนื่องจากเห็นว่า แต่งกายคล้ายตำรวจ แต่บุคคลทั้ง 2 บอกว่าจะบอกทีหลัง เมื่อรถจอดริมถนน บุคคลทั้ง 2 คน บอกให้ตนเอง ดับเครื่อง และลงจากรถและบังคับให้เปิดท้ายรถ ซึ่งตนเอง ก็เปิดท้ายรถ และลงจากรถมาดู กลุ่มบุคคลดังกล่าว ก็ตรวจคัน แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย ขณะที่ นายพรรษา ระบุว่า จะทำอะไร ก็รีบทำ เพราะว่านัดคนจะเอาเงินไปบริจาค เรื่องไฟไหม้ ที่ท่ามะขาม
ต่อมาหนึ่งในบุคคลดังกล่าวแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด โดยแง้มบัตรตำรวจให้ดู เป็นนายตำรวจยศพันตำรวจตรี แล้วกลุ่มบุคคลดังกล่าว ก็ปล่อยนายนิติกรกับนายพรรษาไป
หลังเกิดเหตุ นายนิติกร และนายพรรษามา สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับ พันตำรวจตรีคนดังกล่าวกับพวก เนื่องจาก เห็นว่าพันตำรวจตรีกับพวก ขับรถปาดหน้า และขับรถปิดท้ายกลางสานแยกไฟแดง ต่อหน้าธารกำนัล ทำให้ประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ เข้าใจว่า นายนิติกรและนายพรรษาเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อันเป็นการกระทำให้ อับอายขายหน้า เสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะเป็น สจ. มีหน้าตาในสังคม และเป็นการกระทำที่บังอาจอย่างยิ่ง ในสถานะที่เป็นข้าราชการตำรวจ กลับมีพฤติกรรมเป็นร้ายเสียงเอง อันมีลักษณะลิดรอนสิทธิเสรีภาพของนายนิติกรและนายพรรษา
หลังจากสอบปากคำเบื้องต้น ร.ต.อ. ชัยรัตน์ รับคำร้องทุกข์ไว้ จะได้สอบสวนต่อไป โดยนัดหมายให้ทั้งสองคนมาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 26 เม.ย.66 เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
หลังแจ้งความ นายนิติกร แสงทอง หรือ สจ.เบ๊นซ์ ระบุว่า ตนเองมาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ว่ามีบุคคลกลุ่มหนึ่งขับรถมาสองคัน รถกระบะปาดหน้าอีกคันปิดท้าย แล้วลงรถมาแล้วบังคับให้ลงจากรถ บอกว่าเรามียาเสพติดและปืนอยู่ในรถ ซึ่งก็ถามว่ามาจากไหน เราเห็นลักษณะคล้ายตำรวจ เราก็ถามว่ามาจากหน่วยไหน เขาบอกว่าเดี๋ยวค่อยบอก แต่ผมก็ขอเอารถย้ายไปข้างทาง เพราะกลางไฟแดงพอดีเลย กีดขวางทางจราจร เขาบังคับให้ลงรถ ตรวจค้นก็ไม่มีอะไร ค้นไม่นานใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็เลยถามเขาว่ามาจากไหน เขาก็เลยเปิดบัตรแง้มหน่อยให้ สจ.พรรษาดู เลยทราบชื่อคร่าวๆเบื้องต้นประมาณ ทั้งนี้จึงแจ้งแจ้งความเพื่อขอความเป็นธรรม
ด้านนายพรรษา ระบุว่า พวกเราเป็นสมาชิกสภาจังหวัดกันมาแล้วก็ไม่มีประวัติเสื่อมเสีย เรียกว่าทำเกินกว่า ทำให้เราตกใจ ทำให้เราเสื่อมเสีย เพราะมาดักหน้าดักหลัง ทำกับเราเป็นอาชญากรอย่างนี้ และคนก็ผ่านไปมาเยอะแยะ ก็เลยมาขอความเป็นธรรม
“เพื่อป้องกันตัวเองด้วย เพราะว่าตอนนี้เราคิดว่าเราอาจจะโดยกลั่นแกล้งทางการเมือง เพราะว่าในสังคมก็รู้อยู่ว่าเมืองกาญจน์ ว่าผมสองคนอยู่ทางฝั่งไหน เหมือนกลัวต่อสู้กับอำนาจรัฐอยู่ ตรงนี้จึงมาร้องทุกข์กล่าวโทษ เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองไว้ ถ้าเกิดมีเหตุการณ์กับผมในอนาคต หรือน้องผม สจ.นิติกรก็จะได้มีพยานหลักฐานเก็บบันทึกเอาไว้” นายพรรษา ระบุ
หลังจากนั้น นายพรรษาได้เปิดภาพถ่ายกลุ่มบุคคลที่เข้ามาตรวจค้นที่ถ่ายไว้โชว์ให้นักข่าวดู และกล่าวถึงการปฏิบัติการตรวจค้นในครั้งนี้ว่า เป็นการตรวจค้นที่ไม่ชอบมาพากล ก่อนตรวจค้นไม่มีการแสดงบัตรอะไรเลย ไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่าง
โดยหลังเกิดเหตุ ทั้งคู่ได้เดินทางไปมอบเงินช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัยไฟไหม้ โดยมอบเงินร่วมสมทบทุนสร้างบ้าน10,000บาท ให้ นางปิยะนุช ภูมีแสง อสม. บ้านเลขที่ 9/17 ม.8 บ้านท่าคอกวัว ต.แก่งเสี้ยน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านที่ผ่านมา.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิตอาสาร่วมใจ แพ็กของส่งต่อกิจกรรม “หนาวนี้ทำดีเพื่อพ่อ”
วันนี้ (18 พ.ย. 67) นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้ร่วมกับพลโทนายแพทย์อำนาจ บาลี ผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย และจิตอาสาอีกหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ และเอกชน ร่วมกันแพ็กของอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ทั้ง ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว ชุดวอร์ม น้ำดื่ม วอล์คเกอร์ และของใช้ในชีวิตประจำวัน
แก๊งยาเสพติดข้ามชาติ ยัดผงขาว-ไอซ์ มูลค่ากว่า 100 ล้าน ในองค์พระพุทธรูป
ที่หน้ากองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 237 กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 (ร้อย ตชด.237 กก.ตชด.23) พล.ต.ฉัฐชัย มีชั้นช่วง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210 (มทบ.210) และ รองผู้บัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด
สนธิกำลังจับแก๊งขนยาบ้า ลอบขายช่วงลอยกระทง ยึดของกลาง 2.5 แสนเม็ด
ตำรวจ ทหาร ปกครอง จ.บุรีรัมย์ สนธิกำลังร่วมตำรวจ จ.สุรินทร์ ตามไล่ล่าติดตามจับกุม ทีมขนลำเลียงยาเสพติด ที่จะขนมาขายช่วงเทศกาลลอยกระทง ได้ยกแก๊ง 9 คน ยึดของกลางยาบ้า กว่า 2.5 แสนเม็ด ยาไอซ์จำนวนหนึ่ง กระสุนปืนอีก 14 นัด
ตำรวจแถลงจับเครือข่ายยาบ้ารายใหญ่ ของกลางยาบ้า 41 ล้านเม็ด
ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.สำราญ นวลมา และ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว รอง
ทหารพราน ปะทะเดือด กลุ่มค้ายาชายแดน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ยึดยาบ้า 2 แสนเม็ด
ภายหลังจากที่หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ วางมาตรการสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดนช่วงประเพณีลอยกระทงประจำปีนี้
'ทวี' ตื่น แม่สร้างห้องขังดูแลลูกติดยา รุกจับมือทุกฝ่ายดูแลก่อนออกสู่สังคม
“ทวี”เยี่ยม “เอ็ม” หนุ่มบุรีรัมย์ที่ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ รพ.ธัญญารักษ์ขอนแก่น ครบ 1 อาทิตย์หลังแม่ทนไม่ไหวสร้างห้องขังลูกเหตุเพราะติดยา พร้อมประกาศเดินหน้ากวาดล้างยาเสพติดอย่างจริงจัง และสร้างคนให้มีความรู้ความสามารถทัดเทียมนานาประเทศ