เปิดผลวิจัยอีกด้าน! 'กัญชา' เสพติดได้เร็วกว่าบุหรี่-เหล้า

4 ก.ค. 2565 – ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล นักวิทยาศาสตร์สถาบัน Centre for Addiction and Mental Health ประเทศแคนาดา หนึ่งในเครือข่ายนักวิชาการและภาคประชาชนต้านภัยยาเสพติด ชี้แจงถึงกรณี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์โพสต์บุ๊ก 1 ก.ค.ที่ผ่านมา อ้างถึงงานวิจัยที่ดำเนินการโดย Lopez-Quintero et al. (2011) (ดูงานวิจัยชิ้นนี้ได้ที่ nihms-258354.pdf) ตีพิมพ์ในวารสารด้านการเสพติดชื่อ Drug and Alcohol Dependence เมื่อปี 2554 (11 ปีก่อน) ที่พบว่า การสูบกัญชาเสพติดยากกว่าการติดเหล้าและติดบุหรี่ หากนับตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการใช้จนตลอดชีวิตของผู้ใช้ โดยบุหรี่มีสัดส่วนของการกลายมาเป็นผู้เสพติดบุหรี่ได้มากที่สุดร้อยละ 67.5 เครื่องดื่มแอลกอฮอลมีโอกาสเสพติดร้อยละ 22.7 ในขณะที่กัญชามีโอกาสเสพติดได้เพียงร้อยละ 8.9 เท่านั้น

เครือข่ายนักวิชาการและภาคประชาชนต้านภัยยาเสพติด ขอนำเสนอข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ ที่ไม่ได้เขียนไว้ในเฟซบุ๊ก ดังนี้

ในงานวิจัยชิ้นนี้ พบว่า สัดส่วนของการเสพติดสารเสพติดนั้นๆ ภายในหนึ่งปีแรกของการใช้บุหรี่ สุรา และกัญชา มีสัดส่วนเท่ากันคือร้อยละ 2 แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 67.5 สำหรับผู้ใช้บุหรี่ ร้อยละ 22.7 สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอลมีโอกาสเสพติด และร้อยละ 8.9 สำหรับผู้ใช้กัญชา เมื่อนับสะสมจนตลอดชีวิตของผู้ใช้ ในขณะเดียวกันผู้วิจัยก็พบว่าในกลุ่มคนที่ติดสารเสพติดนั้นๆ ครึ่งหนึ่งของผู้ที่ใช้กัญชาจะติดกัญชาภายในเวลาเพียง 5 ปี ขณะที่ครึ่งหนึ่งของผู้ที่ใช้สุราจะติดสุราใน 13 ปี และครึ่งหนึ่งของผู้ที่ใช้บุหรี่จะติดบุหรี่ใน 27 ปี

ผู้วิจัยอธิบายว่า สาเหตุที่ผู้ใช้บุหรี่มีสัดส่วนการกลายเป็นผู้เสพติดบุหรี่ในชั่วชีวิตมากกว่าสารเสพติดอื่นเป็นไปได้หลายประการ เช่น การดูดซึมควันบุหรี่ผ่านถุงลมปอดดีกว่าการดูดซึมสุราผ่านระบบทางเดินอาหาร การสูบบุหรี่เป็นที่ยอมรับกว่าการใช้กัญชา เนื่องจากบุหรี่ถูกกฎหมาย แต่กัญชาผิดกฎหมายในช่วงเวลาที่ทำวิจัย ซึ่งทำให้ผู้ใช้บุหรี่ถูกกระตุ้นจากสภาพแวดล้อมให้มีอาการอยากสูบได้มากกว่า เช่น เห็นคนอื่นสูบ และการใช้บุหรี่ไม่ได้ก่อให้เกิดพฤติกรรมทำลายล้างเช่นเดียวกับสุราและกัญชา ทำให้ผู้ใช้บุหรี่จึงใช้บุหรี่ได้มากและกลายเป็นผู้เสพติดบุหรี่ได้มากกว่าผู้ใช้สารเสพติดตัวอื่น โดยผู้วิจัยไม่ได้พูดว่ากัญชาก่อให้เกิดการเสพติดที่ง่ายน้อยกว่าบุหรี่และสุราแต่อย่างใด

ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวใช้ข้อมูลการสำรวจในสหรัฐอเมริกา 2 ครั้ง ซึ่งสำรวจในปี ค.ศ. 2001-2002 และ ปี ค.ศ. 2004-2005 ซึ่งเป็นปีที่กัญชายังไม่ถูกกฎหมายเลยในสหรัฐ ทั้งนี้รัฐโคโรราโดและรัฐวอร์ชิงตันเป็น 2 รัฐแรกที่อนุญาตให้เสพกัญชาเพื่อความบันเทิงได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ. 2012

ในทางกลับกันผู้วิจัยอธิบายว่า การที่ผู้ใช้กัญชามีระยะเวลาจากการเริ่มใช้สู่การกลายเป็นผู้เสพติดที่รวดเร็วกว่ากรณีผู้ที่ใช้สุราและบุหรี่มากนั้น เกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ ความง่ายของการติด คุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของสารเสพติด และความแพร่หลายของสารเสพติด สถานะทางกฎหมายของสารเสพติด ว่าถูกหรือผิดกฎหมาย และการยอมรับทางสังคมของการใช้สารเสพติดนั้น ๆ ตลอดจนการใช้สารเสพติดอื่นร่วมด้วย ซึ่งผู้วิจัยระบุว่า กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยที่ใช้กัญชาจะใช้สารเสพติดอื่นร่วมด้วยถึงร้อยละ 80 ขณะที่ผู้ที่ใช้บุหรี่และสุราจะใช้สารเสพติดอื่นร่วมด้วยเพียงครึ่งหนึ่ง และ 1 ใน 3 ตามลำดับ

ทั้งหมดนี้ ผู้วิจัยได้ย้ำว่าแม้บุหรี่จะมีสัดส่วนผู้ใช้กลายมาเป็นผู้เสพติดบุหรี่มากกว่าผู้ใช้สุราและกัญชา แต่การที่กัญชามีระยะเวลาจากการเริ่มใช้สู่การเสพติดเร็วกว่าบุหรี่และสุราอย่างมาก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดมากสำหรับการป้องกันการเสพติกัญชา โดยผู้วิจัยใช้คำว่า Aggressive Preventive Interventions เมื่อเทียบกับการป้องกันการเสพติดบุหรี่และสุรา

โดยสรุป ผู้วิจัยได้อธิบายว่าผู้ใช้บุหรี่สามารถใช้บุหรี่ได้สะดวกกว่า เพราะสังคมยอมรับมากกว่าและบุหรี่แพร่หลายมากกว่าเพราะถูกกฎหมาย ทำให้มีสัดส่วนของผู้ใช้บุหรี่กลายเป็นผู้เสพติดบุหรี่ได้มากเมื่อเทียบกับสุราและกัญชาดังตัวเลขที่ระบุในเฟซบุ๊ก แต่ที่เฟซบุ๊กข้างต้นไม่ได้ระบุ คือ ผู้วิจัยอธิบายว่าความง่ายของการติดและการใช้สารเสพติดอื่นร่วมด้วย เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ใช้กัญชากลายเป็นผู้เสพติดกัญชาในอัตราเร็วที่สูงกว่าผู้ใช้บุหรี่และสุรามาก ซึ่งต่างจากการสรุปของข้อมูลที่เขียนอยู่ในเฟซบุ๊กข้างต้นอย่างมาก

ข้อมูลเพิ่มเติมที่สำคัญ งานวิจัยโดย Feingold et al. (2020) (Probability and correlates of transition from cannabis use to DSM‐5 cannabis use disorder: Results from a large‐scale nationally representative study – Feingold – 2020 – Drug and Alcohol Review – Wiley Online Library) ได้ใช้การสำรวจเดียวกันนี้ แต่เก็บข้อมูลในระยะเวลาที่เป็นปัจจุบันกว่าระหว่างปี 2012-2013 ถือเป็นการสำรวจวิจัยครั้งที่ 3 (NESARC-III) โดยระยะเวลาดังกล่าวเป็นปีที่ 2 รัฐ ในสหรัฐอเมริกา อนุญาตให้เสพกัญชาได้อย่างเสรี

ผู้วิจัยชุดหลังนี้พบว่า สัดส่วนของผู้ใช้กัญชากลายเป็นผู้เสพติดกัญชาในช่วงชีวิตถึงร้อยละ 27 ซึ่งมากขึ้นกว่างานวิจัยเก่า และระยะเวลาจากการเริ่มใช้ไปสู่การเสพติดเป็นเวลาเพียง 4 ปี ซึ่งเร็วขึ้นกว่างานวิจัยเก่า จึงสรุปได้ว่ากัญชาก่อให้เกิดการเสพติดได้เร็วและมากกว่าที่กล่าวอ้างในเฟซบุ๊กของนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สส.ภูมิใจไทย ซัดนโยบายกัญชากลับเป็นยาเสพติด ไม่เป็นผลดีต่อการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน

นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีนโยบายกัญชาของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสินว่า ตนไม่เห็นด้วยกับ

ชี้ กฎหมายกัญชา ฉบับใหม่ล็อกสเป็กเอื้อนายทุนโรงพยาบาล เปิดชื่อคนดังมีเอี่ยวเพียบ

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดเผยว่า ร่างประกาศ