16 พ.ค. 2565 – ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือ “หมอดื้อ” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ต้องรู้จักสเตียรอยด์ให้ดี ช็อกถึงตายได้ จากยาผีบอก สมุนไพร
สเตียรอยด์เป็นฮอร์โมนธรรมชาติของมนุษย์ สั่งงานจากสมองส่วนกลางลงมายังต่อมใต้สมอง ควบคุมต่อมหมวกไตให้ผลิตในปริมาณพอเหมาะ ควบคุมความสมดุลย์ของร่างกาย เมื่อมีภาวะเครียดทางกาย ใจ ยกตัวอย่างเช่นมีมีภาวะวิกฤติฉุกเฉิน มีการติดเชื้อ ร่างกายจะสร้างสเตียรอยด์ในปริมาณที่สูงขึ้นหลายเท่าเพื่อพยุงชีวิต และจำกัดการอักเสบให้ไม่รุนแรงเกินไป จะคอยควบคุมให้ร่างกายทนทาน คงความดันโลหิต คุมการอักเสบอยู่จนกระทั่งมีการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อโรค จนเมื่อกลับเข้าเป็นภาวะปกติ ฮอร์โมนสเตียรอยด์ก็จะกลับเข้าที่เดิม และยังคุมปรับความสมดุลของร่างกาย ทั้งระดับภูมิคุ้มกัน และปรับระดับเกลือแร่ร่วมกับการทำงานของไต การที่เอามาใช้กิน ฉีดเป็นยาบรรเทาอาการ ทำให้อาการปวดเจ็บที่เกิดจากการอักเสบ เช่น ปวดข้อเข่า ปวดเมื่อย หายเป็นปลิดทิ้ง
จากการที่สเตียรอยด์สามารถลดอาการอักเสบ ปวด ลดไข้ได้ ทำให้มีการนำมาใช้กันผิดๆ อย่างแพร่หลายเพื่อให้หายเร็วทันใจไม่ว่าปวดเข่า ปวดข้อ ปวดเมื่อย ทั้งที่ใช้เดี่ยวๆ หรือไปผสมกับยาแก้ปวดอื่นๆ เป็นยาชุด เช่น NSAID (เอนเสด ยกตัวอย่าง ยา voltaren brufen) เป็นต้น ทำให้มีผลข้างเคียงมหาศาล กระเพาะตกเลือด กระเพาะทะลุ เป็นโรคไตวาย ในทางการแพทย์ สเตียรอยด์เป็นยาช่วยชีวิต มีประโยชน์ในการรักษาควบคุมโรค การอักเสบที่เกิดจากภูมิแพ้และแพ้ภูมิตัวเอง เช่น โรคพุ่มพวง หรือ โรค SLE ที่ระบบภูมิคุ้มกันวิปริต แทนที่จะไปสู่กับเชื้อโรคกลับทำลายร่างกายตนเอง หัวจรดเท้า ผมร่วง ผื่นขึ้น หัวใจ ปอด ตับ ไต อักเสบ ข้อบวม
และยังใช้ในอีกหลายโรคที่มีการอักเสบแบบไม่ติดเชื้อ อย่างโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ แต่ทั้งนี้การใช้ต้องอยู่ในการควบคุมอย่างระมัดระวังทั้งขนาด วิธีใช้ ระยะเวลา รวมทั้งต้องทราบผลข้างเคียงแทรกซ้อน อาจระคายกระเพาะ หน้าอ้วนอูม คอเป็นหนอก สิว นอนไม่หลับ แต่ทั้งนี้ต้องชั่งประโยชน์และโทษ คือต้องมากกว่าผลข้างเคียง ซึ่งเมื่อค่อยๆ หยุดยาลงทีละน้อย ผลข้างเคียงเหล่านี้ก็จะค่อยๆ สงบลง
ปัญหาสำคัญอยู่ที่การใช้สเตียรอยด์ในเวลานานๆ เป็นหลายสัปดาห์ขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ระบบอัตโนมัติจากสมองส่งผ่านมาต่อมหมวกปรวนแปร ต่อมหมวกไตขี้เกียจ ร่างกายจะใช้แค่สเตียรอยด์ที่ได้จากการกินจากภายนอกเท่านั้น ซึ่งเมื่อหยุดกะทันหันจะเกิดอันตราย ความดันโลหิตตกจนอาจถึงช็อก หรือเมื่อมีภาวะฉุกเฉิน เช่น ติดเชื้อ เครียดทางกาย ซึ่งขณะนี้ร่างกายต้องการระดับสเตียรอยด์สูงขึ้นอีกหลายเท่าจากปกติ เพื่อให้คงชีวิตอยู่ได้ กลับไม่เป็นดังที่ควรจะเป็น ดังนั้นคนไข้ที่ได้รับสเตียรอยด์อยู่แล้วจากแพทย์ในการรักษาโรค เมื่อเกิดเหตุวิกฤติฉุกเฉิน แพทย์จะทำการปรับระดับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม
ที่เป็นวิกฤติระดับชาติ ภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้านเราขณะนี้ และเป็นมาเนิ่นนานหลายสิบปี จนมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การที่เอาสเตียรอยด์จะด้วยจงใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ปนใส่ในยาชุดแก้ไข้ แก้ปวด แก้อักเสบ หรือในรูปแบบของอาหารเสริม สมุนไพร ซึ่งแท้จริงมีฤทธิ์เป็นสเตียรอยด์ ทั้งนี้จะเห็นผลมหัศจรรย์ทันที หายป่วย หายเมื่อย หายไข้ แต่ถ้าไข้นั้นเกิดจากโรคติดเชื้อ อาการจะดีขึ้นพักเดียว และเชื้อโรคจะแพร่จำนวนลุกลามเข้าอวัยวะ เข้ากระแสเลือดจนเสียชีวิตได้
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในการใช้ระยะยาวเป็นสัปดาห์หรือเดือนอย่างต่อเนื่อง จะกดการทำงานตามธรรมชาติที่ให้มีระดับสูงต่ำตามภาวะความจำเป็น เมื่อเกิดมีภาวะฉุกเฉินเช่นโรคหัวใจ โรคติดเชื้อนิดๆ หน่อยๆ ที่แม้ไม่รุนแรงนัก จะทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำจนถึงช็อก (adrenal crisis)
แม้ว่าทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะมีประกาศอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพวกหมอเราเองจะตระหนักในภาวะนี้แล้วก็ตาม แต่ในโรงพยาบาลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โรงพยาบาลเดียวใน 2 ปี (2013 – 2014) มีผู้ป่วยช็อกจากสาเหตุนี้ซึ่งพิสูจน์ยืนยันแล้ว มากกว่า 80 ราย (วารสาร Tropical Doctor) และอาจจะมีจำนวนมากกว่านี้ เพราะถ้าโรคติดเชื้อมีความร้ายกาจอยู่แล้ว อาการช็อกจากภาวะสเตียรอยด์มีไม่พอ บวกกับช็อกจากติดเชื้อจะทำให้ทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก จากที่หมอคุยกับรุ่นน้องๆ ในอีกจังหวัดหนึ่งทางอีสานในเดือนกันยายนปีนี้ ก็เจอสภาพเช่นนี้เหมือนกัน
จากการสำรวจในโครงการแกนนำนักวิจัยอาชีพของเรา ซึ่งหมอดื้อเป็นหัวหน้าโครงการ ใช้ทุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พบว่าผู้ป่วยช็อกเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีหน้าบวม อ้วน น้ำตาลต่ำในเลือด เกลือแร่แปรปรวน หรือมีเม็ดเลือดขาวบางชนิด (eosinophil) ขึ้น ดังที่ปรากฏเหมือนในตำรา อาจเป็นเพราะได้สารสเตียรอยด์จำนวนพอประมาณติดต่อกันเนิ่นนาน แต่แน่นอนทำให้ต่อมหมวกไตไม่ทำงาน และไม่ยอม “ช่วยชีวิต” เราในภาวะวิกฤติ
หมอขอร้องให้พวกเราบุคลากรสาธารณสุขช่วยกันสอดส่อง และห้ามปรามการใช้ “ยาผีบอก” หรือ “สมุนไพร” ที่อาจมีสเตียรอยด์ปนเปื้อนเหล่านี้ และตระหนักว่าภาวะช็อกอาจเกิดจากการได้ยาผีบอก ยาชุด ที่กดการทำงานของต่อมหมวกไต จะได้ให้การรักษาได้ทันท่วงที
ขอร้องให้ สวทช. กระทรวงวิทยาศาสตร์ ขยายผลที่ได้จากการสำรวจวิจัยเล็กๆ ของเรารวมทั้งรายงานมากมายหลายชิ้นที่ พี่ๆ น้องๆ หมอในประเทศรายงานเอาไว้ ไปร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ ปลุกระดมขจัดล้างยาพิษเหล่านี้ อย่าไปแคร์ว่างานวิจัยต้องตีพิมพ์ระดับโลก องค์กรต้องติดอันดับนานาชาติ งานที่ตอกย้ำเพื่อช่วยชีวิตและสุขภาพควรมาก่อน
ลองนึกภาพนะครับถ้าคนไทยเกือบครึ่งประเทศต่อมหมวกไตฝ่อไม่ทำงาน เวลามีเชื้อโรคแม้ไม่ดุเดือดเข้ามา กลับต้องเข้าโรงพยาบาลเสียชีวิตทั้งๆ ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เหมือนอย่างที่เคยพูดก่อนหน้าครับ ขอร้องให้กระทรวง สำนัก ขยับเป็นระบบเถิดครับ จะให้หมอไหว้ ก็ยอม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘หมอธีระวัฒน์’ อธิบายชัด ภาวะที่นอนแล้วลุกขึ้น มีความดันโลหิตร่วง
การตรวจโดยให้นอน 20 นาที และค่อยๆลุกขึ้น เปรียบเทียบความดันขณะนอนและขณะลุกขึ้น
'เส้นเลือดแตกในสมอง' ทำไมพบบ่อยมากและรุนแรงขึ้น
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์ตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เส้นเลือดแตกในสมอง
ไขข้อข้องใจ! ทำไมกินช็อกโกแลตแล้วสุขภาพดี
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กินช็อกโกแลตแล้วสุขภาพดี…… สนใจมั้ย?
'หมอสมอง' เตือน! 'บิด เอียง สะบัดหมุน ดัดคอ' เสี่ยงอัมพฤกษ์
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง และที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์ตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า บิด เอียง สะบัดหมุน ดัดคอ…แล้วก็เสี่ยงอัมพฤกษ์
เปิดผลสอบ 'ฝีดาษลิง' ธรรมชาติรังสรรค์ หรือมนุษย์ประดิษฐ์!
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ "การสอบสวนฝีดาษลิงธรรมชาติสร้างสรรค์หรือมนุษย์ประดิษฐ์"