โพลชี้คนไทยเข้าใจ ‘โควิด-สงคราม’ ส่งผลกระทบทั่วโลก ต่างปรับตัวยึด ศก.พอเพียง

3 เม.ย.2565-ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่องความกังวล และผลกระทบต่อคนไทย จากวิกฤตการณ์ของโลก จำนวน 1,113 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 29 มี.ค.– 2 เม.ย.2565 ที่ผ่านมา พบว่าผลกระทบต่อคนไทยจากวิกฤตโควิด-19 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.7 ระบุ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศและเศรษฐกิจโลก และร้อยละ 86.3 ระบุ มีส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตใจของคนไทยนอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 86.2 ระบุ มีผลกระทบต่อการจ้างงาน ตกงาน ลดเงินและทำให้รายได้ลด ร้อยละ 85.7 ระบุ มีผลกระทบต่อกลุ่มอาชีพที่ต้องสูญหายไปในช่วงวิกฤตโควิด และร้อยละ 85.6 ระบุ ทำให้การใช้ชีวิตยากลำบากขึ้น เช่น มีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ต้องซื้ออุปกรณ์เพื่อดูแลรักษาสุขภาพ

ที่น่าเป็นห่วงคือ เมื่อถามถึง ผลกระทบต่อคนไทยจากวิกฤตการณ์สู้รบยูเครน กับ รัสเซีย พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 86.6 ระบุ ต้นทุนด้านพลังงานและอื่น ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น น้ำมัน ไฟฟ้า ก๊าซ ทองคำ เป็นต้น ร้อยละ 85.5 ระบุ มีผลกระทบทำให้ค่าครองชีพในหลายประเทศเพิ่มขึ้น ร้อยละ 85.1 ระบุ สินค้าอุปโภคบริโภคสินค้าและต้นทุนการผลิตด้านการเกษตร ปุ๋ยอาหารสัตว์ สูงขึ้นและสินค้าราคาเพิ่มขึ้น ร้อยละ 79.3 ระบุ ต้นทุนการผลิตที่อาศัยการส่งออกและนำเข้าจากประเทศรัสเซีย และยูเครนเพิ่มขึ้น และร้อยละ 78.7 ระบุ การสู้รบทางทหารระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและหลายประเทศ

การรับรู้ของประชาชน ต่อ ความเข้าในสถานการณ์ ต่อผลกระทบจากทั้งวิกฤตโควิด และ การสู้รบรัสเซีย กับ ยูเครน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.8 ระบุ กังวลว่าสถานการณ์วิกฤตการณ์ทั้งสองจะยืดเยื้อ ร้อยละ 79.2 ระบุ กลัวความไม่มั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินทั้งการงานการเงินสุขภาพและคุณภาพชีวิตการดำรงอยู่ของชีวิตการใช้ชีวิตตามปกติ ร้อยละ 72.4 ระบุ กังวลและกลัวประชาชนในประเทศไม่อยู่ในมาตรการควบคุมโรคของโควิด ร้อยละ 70.3 ระบุ กังวลถึงการเล่นสงครามทางการเมืองภายในประเทศ ของนักการเมืองต่าง ๆ ร้อยละ 67.1 ระบุ กังวลและกลัวความเห็นต่าง ท่าทีของไทยในเวทีโลก จะถูกขยายผลความขัดแย้งภายใน กระทบผลประโยชน์ของชาติ และร้อยละ 67.1 ระบุ กลัวการเกิดความรุนแรงทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ กลัวการสู้รบทางทหาร

เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชน ต่อทางออก ในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.4 ระบุ ใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเคร่งครัดต่อเนื่อง คือ ทางอออกทุกวิกฤต รองลงมาคือ  77.5 ระบุ ประชาชนมีความเข้าใจถึงสถานการณ์วิกฤตินี้เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แต่ประเทศไทย ร้อยละ 73.6 ระบุ เข้าใจว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ควรโทษหรือกล่าวหาใคร ร้อยละ 73.2 ระบุ เข้าใจต่อความพยายามในการช่วยเหลือเยียวยาพยุงค่าครองชีพลดภาระในระยะสั้น ร้อยละ 70.2 ระบุ รับรู้ว่ามาตรการช่วยเหลือเยียวยาด้านโควิดของรัฐบาล  มีส่วนบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น  ร้อยละ 69.4 ระบุ รับรู้และเข้าใจว่าระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ได้รับการยอมรับด้านการจัดการและการดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี  ร้อยละ 68.6 ระบุ เข้าใจสถานการณ์บทบาทการวางตัวเป็นกลางของรัฐบาลและเห็นด้วยกับการรักษาประโยชน์ไม่เป็นคู่ขัดแย้ง 

“ผลสำรวจนี้สะท้อนให้ทราบว่าประชาชนส่วนใหญ่รับรู้และเข้าใจถึงสถานการณ์โรคระบาดและสงครามที่เกิดขึ้น มีผลกระทบกับทุกประเทศ มิใช่เฉพาะไทย  โดยต่างได้รับผลกระทบทั้งด้านจิตใจและร่างกาย ความสุขและคุณภาพชีวิตในภาพรวม  อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่พอใจกับท่าทีและนโยบายการวางตัวเป็นกลางของรัฐบาล ที่ไม่โดดเป็นคู่ขัดแย้งในสงคราม ซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจช่วงโควิดที่เกิดขึ้น และพอใจกับโครงสร้างของระบบสาธารณสุขไทยที่เข้มแข็ง สามารถดูแลส่วนรวมได้ดีกว่าหลายประเทศ ส่วนใหญ่รับทราบถึงความพยายามและมาตรการช่วยเหลือระยะสั้นจากรัฐบาลที่ผ่านมา ในการบรรเทาความดือดร้อนและช่วยเหลือค่าครองชีพที่จำเป็น ที่สำคัญ ยังกังวลกับความยืดเยื้อของสงครามและโรคระบาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การละเลยการ์ดตกในมาตรการควบคุมโรคของประชน และการที่ฝ่ายการเมือง นำเรื่องละเอียดอ่อนไปสร้างคะแนนนิยม ขยายผลจนกระทบเอกภาพและผลประโยชน์ของชาติได้   ทั้งนี้ ความตระหนักรู้ เข้าใจและมีส่วนร่วมของทุกคน บนผลประโยชน์ชาติ เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราทุกคนจำเป็นต้องอยู่บนความพอเพียง เพื่อจะผ่านสถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นไปด้วยกัน”

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘หมอธีระ’ ข้องใจตัวเลขโควิด สัปดาห์ก่อนพุ่งอาทิตย์นี้ลดฮวบ ไม่ใช่เรื่องปกติ

สัปดาห์ก่อน ตัวเลขนอนรพ.พุ่งขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อนหน้านั้นถึง 78% แต่สัปดาห์ล่าสุดนี้ ลดลงฮวบฮาบจากสัปดาห์ก่อนถึง 57.7% ส่วนตัวคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ควรต้อง explore

กลุ่ม LGBTQ ยังไม่เข้าใจกม.สมรสเท่าเทียม

นายนพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง เสียงของ LGBTQiA+ กรณีศึกษาตัวอย่างกลุ่ม LGBTQiA+ ทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)