มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง และ อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ สองนักแสดงสุดฮอต เปิดเส้นทางในวงการบันเทิงนานกว่า 10 ปี จนกลายเป็นนักแสดงแถวหน้า สร้างมูลค่าสื่อให้กับแบรนด์ระดับโลก ได้มากกว่า 159.9 ล้านบาท ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31
ซีรีส์ที่เล่นชื่อว่าคินน์พอร์ชเดอะซีรีส์ ดังทั่วโลก กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ ทั้งคู่ไม่เคยใฝ่ฝันเลยว่าจะเป็นดารา ตอนวัยเด็กอยากเป็นอะไร?
มาย : ตอนเด็กอยากเป็นวิศวโยธา ตอนเด็กผมเคยมีญาติ ญาติพาไปเที่ยว เห็นเขาทำฝาย ผมก็มีความใฝ่ฝันอยากทำฝาย ดูเท่
อาโป : ผมโนไอเดียเลย ไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร อยากเป็นอะไร พ่อแม่การศึกษาไม่ได้สูง เขาก็แค่อยากให้ลูกเรียนในสิ่งที่คิดว่ามันมั่นคง เป็นหมอหรืออะไรแบบนี้ เราก็รู้ลึกๆ ว่ามันไม่น่าเหมาะกับเรา มันก็เลยเคว้ง เหมือนอยู่ในครอบครัวที่เขาคาดหวัง เราก็งงอยู่พักใหญ่ๆ
มาเป็นนักแสดงได้ยังไง?
อาโป : พอดีช่วงที่ค้นหาชีวิต เราบังเอิญเจอผู้จัดการคนเก่า คือพี่เบิ้ม เขาก็พาไปเดินแบบ เดินอยู่สักพัก ตอนนั้นเขาให้ไปแคสที่ช่อง 3 บังเอิญแคสไม่ผ่าน เขาก็เลยบังเอิญไปเจออีกคน คือพี่หนุ่ม กฤษณ์ ตอนนั้นกำลังจะถ่ายสุดแค้นแสนรัก เขาให้ไปแคสเรื่องนั้น ที่เล่นกับพี่เบนซ์ด้วย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ได้เป็นนักแสดง นั่นคือเรื่องแรก แคสกับช่องไม่ผ่าน แต่แคสกับพี่หนุ่ม พี่หนุ่มบอกว่าต้องเป็นบทคู่แฝด แล้วโปดันไปคล้ายกับอีกคนนึง เขาก็เลยให้มาลองดู แล้วส่งไปเรียนการแสดง ซึ่งผ่านมา 10 ปีพอดี พี่เบนซ์ยังสวยเหมือนเดิม (เบนซ์บอกว่าอาโปมีแววอยู่แล้ว เป็นคนขี้สงสัยแล้วก็จะถามเลย เด็กบางคนไม่ได้ถาม บอกมาก็เล่นตามนั้น แต่อาโปเป็นเด็กขี้สงสัย ซึ่งเป็นข้อดีเพราะพอถามแล้วได้ความรู้ กว่าจะจบเขาก็เล่นเก่งเลย
หลังเรื่องสุดแค้นก็ได้เล่นอีกหลายเรื่อง แล้วอะไรทำให้ตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตใหม่ ก้าวใหม่ของชีวิต?
อาโป : ต้องย้อนกลับไปก่อนว่าตอนนั้นพอเล่นสุดแค้นเสร็จ บังเอิญได้ไปเล่นกับพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เรื่องเลือดมังกร แล้วเล่นกับพี่นก ฉัตรชัย พี่นกเขามีแพชชั่นทางด้านแสดง ทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้าเราจะเอาอันนี้เป็นอาชีพ เราต้องทำยังไงกับมันบ้าง ต้องตั้งคำถามยังไง ต้องศึกษายังไงกับการเป็นตัวละคร เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่าเราจะเอาดีด้านนี้แล้วนะ เราทำมาเรื่อยๆ ก็คิดว่าการละครไม่ตอบโจทย์เรา สมมติปีนึงมีพีเรียดนึง มี 3 พาร์ต เขาถ่ายพาร์ตละ 2-3 เรื่อง มันทำให้เราไม่มีเวลาไปใช้ชีวิตอย่างอื่น ตอนนั้นอยู่มา 2-3 ปีแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเราถ่ายแต่ละคร ไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็คิดว่าเฮ้ย ชีวิตเรามีแค่นี้เองเหรอ เราอยากออกไปเจอโลกบ้าง ได้เรียนรู้มุมอื่นบ้าง อยากไปทำงานที่ทุกคนทำงานอย่างละเอียดอ่อน เราเป็นเด็กช่างสงสัย ก็จะถามตัวเองตลอด ทำไมถึงเป็นอันนี้ไม่ได้ ทำไมถึงได้แค่นี้ นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัดสินใจว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเรา เราก็เลยย้ายไป ตอนนั้นตัดสินใจออก เก็บของ ขายทุกอย่างทิ้งที่เมืองไทย แล้วไปอยู่ที่นิวยอร์ก
มายเข้าวงการได้ยังไง?
มาย : พอเรียนวารสารเราก็เปิดใจว่าจริงๆ ต้องหาอะไรทำ ระหว่างเรียน เราจะได้เรียนรู้หน้างานด้วยนอกจากวิชาการ การไปคุยกับคนต่างๆ ก็ได้มายด์เซ็ตว่าเราควรเปิดใจกับทุกอย่างที่เข้ามา เพราะโลกกว้างมาก ก็เริ่มไปเป็นดีเจคลื่นวิทยุคลื่นนึงตอน 18 เราก็คุยหมดเลย ช่างแต่งหน้าวันนั้นก็ยังแต่งหน้าวันนี้ คนแรกกับปัจจุบันก็เป็นคนเดียวกัน เราก็รู้สึกว่าวงการบันเทิงมีหลากหลาย พอมีอะไรมาก็ไปแคส บวกกับความใจดีของเรามั้ง เวลาใครบอกไปทำนี่ให้หน่อยสิ เราก็ไปทำ โดยเราไม่ได้คาดหวังว่าจะดังหรือได้เงิน เพราะเราทำโดยไม่ได้ต้องการเรื่องตรงนั้นสักเท่าไหร่ เหมือนคินน์พอร์ชเหมือนกัน เราก็แค่ไปช่วยเขา เพราะเขาบอกว่าบทนี้มาจากบุคลิกเราบางอย่าง เพราะนักเขียนรู้จักเรา ก่อนรู้จักนักเขียนก็เป็นโปรดิวเซอร์รายการ เขาก็ชวนเราไปออกรายการเขา แล้วเขาก็เห็นแค่นั้นเอง เราก็ไปสิ แต่ไม่มีใครรู้จักพี่นะ ไปได้มั้ย ก็ไปช่วยกัน หลังจากนั้นสองเดือนเขาก็ติดต่อมาอีก ว่ามีนิยายที่เขาเขียน เขาอยากทำเป็นซีรีส์ เขาเขียนจากตัวมายประมาณใหญ่ๆ เลยแหละ ลองไปแคสให้ดู แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเล่นหรือเปล่านะ เพราะไม่รู้แอ็กติ้งได้ดีขนาดไหน ก็ลองดู แล้วก็ลุย มาถึงตอนนี้
อาโปไปทำอะไรอยู่อเมริกา?
อาโป : เราอยากเปลี่ยนมุมมองใหม่ทั้งหมด ตอนเล่นละครมา ก็จะมีระบบที่เขาบอกว่าคุณต้องวางตัวแบบนี้ คุณต้องเป็นแบบนี้ ตอนนั้นรู้สึกว่าไม่ จริงๆ เราคือมนุษย์ เราควรทรีตทุกคนเท่ากัน เราควรใช้ชีวิตปกติได้สิ เราก็เลยตั้งใจไปที่นั่น แล้วขาดการติดต่อกับคนฝั่งนี้ เมื่อก่อนเรามีผู้จัดการ แต่ ณ วันนี้เราต้องดีลทุกอย่างด้วยตัวเอง เวลาเราอยากได้อะไร มันเลยเหมือนต้องคิดเป็นระบบมากขึ้น พอไปปั๊บก็คิดว่าถ้าวันนึงเราประสบอุบัติเหตุ เราเป็นนักแสดงไม่ได้ เราทำอะไรได้บ้าง ณ วันนั้นฉุกคิดมาว่าเราทำอะไรไม่เป็นเลยนี่หว่า เราเป็นนักแสดงได้อย่างเดียว เราก็เริ่มค้นหาว่าเราเป็นอะไรได้บ้าง เราเลยไปลองถูพื้น เป็นแคชเชียร์ เป็นบาร์เทนเดอร์ ก็คิดว่าเป็นชีวิตอีกแบบนึง นี่คือมนุษย์จริงๆ เพราะเรื่องภาพลักษณ์ที่เรามี เรื่องหน้าตาที่อื่นเขาไม่รู้จักเรา เขาไม่แคร์เราเลย เขาทรีตเราเป็นมนุษย์คนนึง ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าจริงๆ มนุษย์คืออะไร ซึ่งสิ่งนั้นแหละทำให้เราอยากลองไปแคสเป็นนักแสดงที่นั่น ต่อให้เวิร์กหรือไม่เวิร์กอย่างน้อยเราได้ลองทำ บังเอิญโควิดเข้า เสน่ห์นิวยอร์กคือคนพลุกพล่าน พอทุกคนหยุดแล้วหายหมดเลย เราก็เฮ้ย เสน่ห์หายไป เราไปทำอย่างอื่นดีกว่า ก็คิดว่ากลับมาที่เมืองไทยดีกว่า บังเอิญตอนนั้นมีคินน์พอร์ชเปิดให้แคส เราก็เลยไปแคส แล้วบังเอิญได้เล่น จนทุกวันนี้
อยู่นานมั้ย?
อาโป : ประมาณ 6 เดือน
เหมือนเส้นทางชีวิตต้องมาทางนี้ เขาดังมากจริงๆ คินน์พอร์ชเดอะซีรีส์ โด่งดังถึงขนาดไปเล่นคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์?
อาโป : ไปหลายเมือง มีไทเป สิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง ฟิลิปปินส์
เวลามีตติ้งแฟนคลับจะเป็นแบบนึง แต่นี่คอนเสิร์ตยิ่งใหญ่อลังการ รู้สึกยังไงบ้างที่วันนั้นพี่เขาชวนเรา เราลองดู อีกคนโควิดกลับมาเมืองไทย จนความสำเร็จเวอร์วังขนาดนี้ รู้สึกยังไงบ้าง?
มาย : จริงๆ ผมมีความสุขมาก เพราะคลิกสุดท้ายที่เราเลือกว่ามาทำบันเทิงเต็มตัวดีกว่า ให้เวลาโดยทิ้งงานอื่นไปเลย คือเราอยากสร้างความสุขให้คน ส่งต่อความสุขให้คนผ่านงานบันเทิง เราชอบกีต้าร์ เราชอบร้องเพลง แอ็กติ้งได้บ้าง มาผนวกรวมกัน พอไปคอนเสิร์ตเราได้เจอคนหลากหลายประเทศ หลากหลายเมือง หลากหลายโลเกชั่น เราเห็นแววตาของความสุข เสียงกรีดร้องที่ไพเราะต่างๆ นานา มันเป็นเอนเนอร์จี้ที่เรามีความสุขจากงานที่พวกเราทำ นั่นคือทำให้ผมโอเคมากๆ กับเป้าหมายในวงการบันเทิง
อาโป : โปภูมิใจมาก ในฐานะนักแสดง สิ่งที่เราทำ คือเราเป็นตัวแทนในการเล่าประสบการณ์ชีวิตตัวละคร ให้คนดูได้กำลังใจ ได้เรียนรู้ชีวิต แต่พอเราได้ทำคอนเสิร์ต เราส่งไปปั๊บเราเห็นเลยว่าเขามีความสุข มันเลยเป็นอีกเวย์ที่เรารู้สึกว่ามันเจ๋ง เราแค่เต็มที่แล้วเขาก็มีความสุขขึ้นมาโดยเราไม่ได้ทำอะไรมากเลย ทำให้รู้ว่าหลายๆ ที่ในโลก สิ่งเชื่อมกันคือความสุข
การสร้างมูลค่าทางสื่อ 160 ล้าน ไปทำอะไรมา?
มาย : จริงๆ เราสองคนเป็น House Ambassador ของดิออร์ ของประเทศไทย ไปร่วมงานที่ฝรั่งเศส
อาโป : พลังของแฟนๆ ทั่วโลกเขาซัปพอร์ตกันลงโซเชียล มันเลยทำให้ยอดสื่อไปถึงขนาดนั้น ก็ขอบคุณแฟนๆ มากๆ
หนึ่งโพสต์ ทำให้ยอดซื้อสินค้าพุ่งทะยานเพิ่มมากขึ้น สองคนรวมกัน 160 ล้านถือว่าเยอะมากๆ ล่าสุดมายเป็นอะไร?
มาย : เฟรนด์ ออฟ เกอร์แลง ต้องขอบคุณแบรนด์ด้วย ผมเป็นในพาร์ตของน้ำหอม เดือนที่แล้วไปฝรั่งเศสมา ไปดูของเกอร์แลง ทั้งเกอร์แลง ทั้งดิออร์ การทำงานเขาเจ๋งมากในทุกส่วนจริงๆ แล้วโปรดักส์เขาดีมากๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'เจมส์-กาด' นำทีมเสิร์ฟความฟิน ยิ่งใหญ่ประทับใจสมการรอคอย
จบลงไปแล้วอย่างยิ่งใหญ่กวาดทุกโมเมนต์ความประทับใจสมการรอคอย สำหรับงาน “Bad Guy My Boss Final EP. Fan Meeting” ที่เหล่าชาวด้อมมารวมตัวกัน เพื่อร่วมรับชมตอนจบในอีพีสุดท้าย (อีพี12)ของซีรีส์ “Bad Guy My Boss เจ้านายร้ายรัก” ทางช่อง 8 ในเครือ อาร์เอส กรุ๊ป
สมการรอคอยของแฟนๆวาย กับงานประกาศรางวัลสุดยิ่งใหญ่
สมการรอคอย สำหรับงานประกาศรางวัล “Y Entertain Awards 2024 presented by JisuLife ซึ่งจัดโดยบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท โซนิกซ์ ยูธ จำกัด โดย ก้อง-ปิยะ เศวตพิกุล ณ True ICON Hall ICONSIAM
'นายกฯอิ๊งค์' ฟังทางนี้! แก้ด่วนบุคลิก 3 เรื่อง ให้สมวุฒิภาวะผู้นำ
นายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่อง "บุคลิกของนายกฯอุ๊งอิ๊ง" โดยระบุว่า คนที่เขาเกลียดคงไม่ต้องพูดถึงหรอก อะไรๆ เขาก็ด่านายกฯ อุ๊งอิ๊ง
'WeTV' พาแฟนซีรีส์สุดฟิน กับนักแสดง 'Fourever You เพราะรักนำทาง'
เรียกได้ว่านาทีนี้ถ้าใครยังไม่ได้ดู “Fourever You เพราะรักนำทาง” ซีรีส์สุดฮอตจาก สตูดิโอ วาบิ ซาบิ จะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องแล้วนะ เพราะนอกจากจะฮอตฮิตติดเทรน บน X ในทุกสัปดาห์ที่ออกอากาศแล้ว ล่าสุดยังการันตีด้วยการเป็นซีรีส์วายอันดับ 1 บน แอป WeTV อีกด้วย
'บาส หัสณัฐ' ปลื้มแฟนจีนแห่ต้อนรับสุดอบอุ่น เผยเตรียมลุยคอนเสิร์ตเดี่ยว
มีโอกาสได้ไปร่วมโชว์ในงาน "Trance Music Festival" ที่กุ้ยหลิน ประเทศจีน เมื่อวันก่อน ทำเอานักแสดงหนุ่มหน้าใส "บาส-หัสณัฐ พินิวัตร์" เจ้าของฉายา "บาสเด็กอ้วนที่แท้จริง" ปลื้มสุดๆ เพราะมีแฟนๆชาวจีนมาให้กำลังใจล้นหลาม งานนี้เจ้าตัวเลยมาเล่าถึงการทำงานที่จีน พร้อมทั้งอัปเดตคอนเสิร์ตเดี่ยวที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนธันวาคมนี้