'โอม ค็อกเทล' เคลียร์ดราม่า 'GeneLab' ดังได้ทุกวันนี้เพราะมีเด็กเก่ง

โอม-ปัณฑพล ประสารราชกิจ นักร้องนำ วง Cocktail และผู้บริหารค่ายเพลง GeneLab ที่มีศิลปินตัวท็อปมากมายและมาแรงในขณะนี้ เผยถึงเรื่องราวชีวิตส่วนตัวแบบเจาะลึกทั้งเรื่องความรักและครอบครัวครั้งแรก และเล่าถึงบทบาทของการเป็นผู้บริหารค่ายเพลง GeneLab การคัดเลือกดูแลศิลปิน และเรื่องราวดราม่าค่ายเพลงดังได้เพราะมีเด็กเก่งทั้งหมดนี้ในรายการ WOODY FM

ปกติไม่ค่อยเห็นโอมให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการเท่าไหร่นัก ?
โอม : ใช่ครับ คือเรามีนิสัยแบบหนึ่งมากกว่า ว่าเราอยู่กับตัวเองเยอะ ผมชอบพูดกับเพื่อนๆ บ่อยๆ ว่าถ้าเราไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงเราอาจจะปิดโซเชียลมีเดียไปแล้วนะ

ตัวตนของ โอม ค็อกเทล มันตรงกับใจเราไหม ?
โอม : โอเคนะครับ ไม่ได้รู้สึกฝืน ผมว่าเราเข้าใจบทบาทแล้วหน้าที่

มีบางทีที่ไม่รู้สึกเป็นตัวเองไหม ?
โอม : ผมจะมีประจำเลยคือการไปงานประกาศรางวัลอะไรก็ตาม จะต้องมีการเดินพรมแล้วก็มีกล้องเยอะๆ เราก็จะรู้สึกว่าฉันไม่ใช่คนที่จะอยู่ที่นี่กลับบ้านได้ไหม (หัวเราะ) ผมเป็นคนกลางๆ รู้สึกว่าเรามีเรื่องชอบใจและไม่ชอบใจในแต่ละวัน แต่บางอย่างมันดำรงอยู่เพื่อประโยชน์ที่สูงกว่านั้น แล้วเราก็ต้องอยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ในเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกัน เราก็ต้องหาวิธีอยู่ร่วมกัน ทุกคนไม่ได้สามารถเป็นตัวเองได้ 100% แต่อย่าลืมว่าการที่ผมเลือกแล้ว ยอมลดทอนความเป็นตัวเองบางส่วนลงก็คือตัวผมอยู่ดี การเลือกทำหรือไม่ทำคือการตัดสินใจของผม และผมมีความสุขมากกว่าที่ไม่ต้องปะทะกับใครหรือทำให้คนรอบๆ รู้สึกไม่ Comfortable ผ่านมา 20 ปีจากวันที่เริ่มแรกเราเล่นดนตรี ผมมาถึงจุดที่เรารู้ว่าเราเป็นยังไงพอ ใครเขาอยากมองยังไงเราแล้วแต่เขา ไม่เป็นไร เว้นเสียว่ามันเป็นการทำลายกันแบบบิดเบือนข้อเท็จจริงอะไรบางอย่างที่เราต้องออกไปแก้ตัวนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

ภรรยาคิดว่าเราซับซ้อนไหม ?
โอม : เดี๋ยวผมโทรถามได้ไหมเนี่ย (หัวเราะ) ไม่แน่ใจว่าเขามองยังไง เขาชอบบอกว่าหนูขาดพี่ไม่ได้ ไม่อยากให้พี่หายไปจากชีวิต บางทีเป็นผู้หญิงก็น้อยใจเขาพูดแบบนี้ พี่ดูเหมือนขาดอะไรก็ได้ ดูเป็นคนประเภทที่ไม่มีใครเลยสักคนเดียวก็อยู่ได้โดยไม่เป็นอะไร ซึ่งมันก็ใช่ ผมเป็นคนอยู่คนเดียวได้ดี ผมบอกเขาตลอดว่าวิธีคิดพี่อาจจะไม่ใช่แบบนั้น อาจจะฟังดูไม่หวาน แต่ว่าฉันขาดเธอได้แน่นอน ฉันไม่ได้ใช้เธอหายใจ ฉันไม่ได้ใช้เธออิ่มท้อง ผมนักกฎหมายครับรู้สึกว่าคำที่ใช้มันต้องตรงกับข้อเท็จจริง ถ้าบอกขาดไม่ได้ ผมรู้สึกคำว่าขาดไม่ได้คือมันไม่มีต้องตาย แต่ในความเป็นจริงขาดคนรักไม่มีใครตาย มันอาจตายเพราะใจเหี่ยวเฉาแต่นั่นคือใจเราเลือกเอง ที่จะเหี่ยวเฉาเพราะว่า เราสามารถบังคับฝึกฝนจิตใจเราเองได้ อันนี้ความเชื่อของผมนะครับ ฉะนั้นผมก็บอกเขาเลยว่าผมขาดเขาได้ แต่ขอให้รับรู้ไว้ว่าการมีเธออยู่ในชีวิตมันดีกว่าเสมอ

นิยามความรักของโอมคืออะไร ?
โอม : รักมันไม่มีส่วนผสมมันไม่ได้เป็นค็อกเทล พอบอกว่ารักคืออะไรมักจะมีคนตอบเยอะมากเลย รักคือการให้ รักคือการเสียสละ รักคือการทุ่มเท คือการเชื่อใจ แต่ทุกอย่างที่เขาพูดมาไม่ว่าใครก็ตามที่นิยามสิ่งนี้มา มันคือเรื่องของการเสียไปทั้งสิ้นเลย มันไม่มีการได้รับเลย คือการให้หมดเลย เลยคิดว่าเมื่อเรารักอย่างแท้จริงมันจะไม่มีเราอยู่ในนั้น มันมีแต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา หรืออะไรก็ตามที่เรารัก เมื่อเราไม่มีตนเราถึงจะมองเห็น ความต้องการของเขาเป็นที่ตั้ง บางทีเราบอกว่าเป็นห่วงคนๆ หนึ่งเหลือเกิน ห่วงมากเขาต้องดี แล้วสุดท้ายเราก้าวเข้าไปในชีวิตเขาแล้วบังคับให้เขาเป็นในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น บางทีนั่นก็ไม่ใช่รัก ยิ่งถ้าเราเป็นพ่อแม่คน อย่างผมเป็นพ่อแล้ว ผมรู้สึกว่ามันยากมากที่เราจะกั้นไม่ให้เขาทำในสิ่งที่มันผิดศีลธรรม แต่บางอย่างมันเป็นวิถี บางครั้งเรารู้สึกว่าวิถีลูกมันใช้ไม่ได้ มันเริ่มไม่ใช่แล้วเราเริ่มเอาชีวิตเราไปแทนที่เขา ถามว่าเรารักเขาจริงๆ หรือเปล่าอันนี้ผมไม่ชัวร์ รู้สึกว่าบางทีเรารักมากๆ บางครั้งมันกลืนกันระหว่างรักในความเชื่อของเรา หรือรักเขาอย่างที่เขาควรจะเป็นจริงๆ มันต้องหาจุดที่มันพอดีมากๆ ผมเลยเชื่อว่า รักที่แท้พอมันเพียวเมื่อไหร่มันจะไม่มีตนเลย จะมีแต่ว่าเขาๆๆ เหมือนว่าเราอกหักอ่ะครับ อกหักแล้วเจ็บจะเป็นจะตายมันไม่ใช่เพราะเรารักเขา ผมรู้สึกว่าเพราะเรารักตัวเอง ก็เราไม่ได้ดั่งใจเราก็เจ็บ เพราะว่าความทุกข์เกิดจาก 2 เหตุเองก็คือ อยากได้แต่ไม่ได้ กับ ไม่ได้อยากได้แต่ได้มา มีอยู่แค่นี้คือภาวะตัณหา ไม่ว่าทุกข์ไหนใครพูดมาก็จะตกอยู่ใน 2 ประเภทนี้ เลยรู้สึกว่าถ้าเรารักเขาแล้วความสุขเขาไม่อยู่กับเรา แล้วเขายินดีที่จะอยู่ที่อื่น ถ้าเราไม่มีตัวเองอยู่ในนั้นเราจะไม่มีปัญหากับมันเลย ยากมากการที่จะขจัดตัวเองออกจากความสัมพันธ์หนึ่ง แล้วเห็นแต่เขาเท่านั้น

สมมุติว่าคุณจะต้องสัมภาษณ์ตัวเอง ในเรื่องที่คนไม่เคยรู้มาก่อน เลือก 1 คำถาม คุณจะถามเกี่ยวกับอะไร ?
โอม : จะเลิกเล่นดนตรีเมื่อไหร่ ?

ทำไมถึงเลือกคำถามนี้ ?
โอม : เพราะไม่เคยพูดครับ (หัวเราะ)

แล้วคุณเชื่อว่าแขกรับเชิญจะตอบได้ดีไหม ?
โอม : เชื่อว่าแขกรับเชิญแม้ว่าจะมีในใจก็ยังจะไม่ตอบความจริงอยู่ดี

เพราะอะไร ?
โอม : เพราะว่าบางอย่างพูดไปก็ยังไม่ถึงเวลาต้องพูด ผมรู้สึกอยู่เสมอว่าเราอยู่ตรงไหน แล้วก็บางที The END นั้นก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามสถานการณ์ วันนี้เรายืนตรงนี้ เรามองตัวเองว่าต้องจบประมาณนี้มั้ง แต่อยู่ดีๆ กราฟเราเปลี่ยน เราโชคดี มายืนที่สูงกว่า จุดจบที่เราจินตนาการณ์มันก็เลยแบบขยับไปอีกที่หนึ่งด้วย แล้วผมคิดเรื่องนี้ตลอดเลยนะ จบมือกลองผมพูดว่า อ๋อ! เรื่องยุบวงพี่โอมพูดตั้งแต่วันแรกแล้ว บอกเตรียมใจเกิดได้ทุกที่ทุกเวลาเป็นไปได้หมด แต่ผมชอบนะมันเป็นหลักเดียวกับ มรณานุสติ คิดว่าเราจะตายเมื่อไหร่เราก็ไม่ประมาท ถ้าผมจะต้องเลิกเล่นหรือจบชีวิตหรือจบอาชีพลง ผมอยากจะพูดได้เต็มปากว่าตลอดชีวิตนี้ฉันไม่เคยเสียใจสักครั้ง ไม่ต้องมองกลับไปแล้วรู้สึกว่าฉันพลาดฉันผิด ฉันได้ใช้ชีวิตอย่างงดงามที่สุดแล้วและสมบรูณ์

ล่าสุดเรื่องของค่าย GeneLab ขออนุญาติอ่านโพสต์นะครับ ค่าย GeneLab ไม่ทำอะไรเลยที่ค่ายดังทุกวันนี้เพราะมีเด็กเก่ง ?
โอม : ผมเคยเห็นคอมเมนต์แบบนี้ แล้วก็เห็นมาตั้งแต่สมัยที่พี่นิค วิเชียร ที่ทำ Genie records ซึ่งเป็นค่ายที่ผมโตมา ก็โดนแบบเดียวกันมีคนหาว่าพี่นิคทำอะไรมี บิ๊กแอส , บอดี้สแลม , โปเตโต้ , ปาล์มมี่ ฯลฯ มีคนเหล่านี้ยังไงค่ายก็ต้องดังอยู่แล้ว มีคนพูดถึงพี่นิคเก่งตรงไหน แต่ผมว่าประเด็นที่ต้องคิดคือทำไมคนเก่งถึงยอมอยู่กับพี่นิค ผมเลยรู้สึกว่าบางทีเรามองข้ามทักษะและความสามารถหรือการจัดการ ผมสร้างค่ายด้วยตรรกะของการจัดการแล้วรู้สึกว่าทำยังไงก็ได้ ให้เราสร้างค่ายที่มันเป็นพื้นที่ให้คนทำงานศิลปะรู้สึกสบายใจ คนทำงานศิลปะต้องการสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เขาทำงานได้ดี เลยสร้างพื้นที่บางอย่างให้เขารู้สึกว่าทำงานแล้วได้เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ สะดวกสบายในความเข้าใจ ได้รับความรู้ทุกอย่างครบถ้วนไม่ได้ปิดบังความจริงอะไร ให้เขาอยู่ตรงนั้นแล้วสะดวกง่าย สบายแค่นั้นเอง เหมือนจะง่ายมาก แต่ก็ยุ่งมาก เพราะว่าอย่าลืมว่า Product ของเราคือมนุษย์ แล้วมนุษย์ไม่ได้มั่นคง

อยากจะรู้ว่าในความคิดของคนที่พูดประโยคนี้ คุณว่าเขาคิดอะไรอยู่ ?
โอม : เขามีสิทธิ์จะมองแบบนั้นได้เพราะว่าค่ายดังด้วยศิลปินจริงไหม ก็จริง ค่ายดังด้วยเพลงของศิลปินไหมก็จริง เขาเห็นแค่นั้นเขาก็จะบอกแบบนั้น เราก็เลยไม่เห็นเป็นไรเลย อาหารจานเดียวกัน พี่วู้ดดี้ว่าอร่อย ผมยังว่าไม่อร่อยได้เลย เขามี Angle ที่เขาจะเห็นได้แต่เขาไม่อาจเปลี่ยนความจริงได้ ที่ผมไม่แก้เพราะผมเป็นคนเบื้องหลังไม่ต้องได้รับคนชมอยู่แล้ว หน้าที่บริหารไม่ได้คิดแทน แค่จัดการทุกอย่างให้ได้ประโยชน์สูงสุด ตามเพลงของศิลปินที่เขาสร้างมาไปจัดการให้มันเป็นกำไรค้าขายได้แล้วก็นำกลับมาให้เขา ส่วนหน้าที่ศิลปินในฐานะของผมก็คือสร้างชิ้นงานที่เป็นตัวเอง จริงใจกับตัวเองให้มากที่สุดให้ได้คุณภาพแล้วส่งต่อไปให้ค่ายเพื่อให้ค่ายเอาออกไปหาคน เพราะงั้นแม้กระทั่งศิลปินที่ไม่มีค่ายเขาก็ทำ 2 หมวด เพราะเขาต้อง Management ตัวเองเหมือนกัน จริงๆหน้าที่ค่ายตอนนี้ทำแบบนี้ครับ เราเลือกคนที่เราเชื่อว่าเราดูแลเขาได้แล้วมัน Market Table เพราะการทำธุรกิจมันไม่กำไรไม่ได้ ผมอยากให้นักดนตรีที่เขามาเซ็นที่ GaneLab ทุกคนสามารถเลี้ยงอาชีพด้วยการเป็นนักดนตรีได้เต็มภาคภูมิโดยไม่ต้องทำอย่างอื่นเลย มันถึงจะเรียกว่าเราประสบผลสำเร็จในการดูแลเขาจริงๆ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'GMM MUSIC' โกยรางวัล 'AdPeople Awards & Symposium 2024'

เป็นประจำทุกปีที่สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทยจะประกาศรางวัลให้กับผลงานโฆษณาที่มีความโดดเด่นพุ่งเข้าตาคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิระดับมืออาชีพแถวหน้าของสาขาอาชีพต่างๆ ซึ่งในปีนี้ AdPeopleAwards & Symposium 2024 จัดขึ้น ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ฮอลล์ โดยได้มีการเพิ่มรางวัลในสาขา Entertainment Music ขึ้นมาใหม่ และมิวสิกวิดีโอจาก GMM MUSIC ไม่ว่าจะเป็น genie records และ GeneLab ก็คว้ารางวัลกลับบ้านไปเต็มกระเป๋า

'โอม' เผยรู้สึกเป็นเกียรติ 'COCKTAIL' รับรางวัล Thailand Headlines Person of the Year

สุดยอดงานยิ่งใหญ่แห่งปีกับ “พิธีมอบรางวัล 2024 Thailand Headlines Person of The Year Awards” ครั้งที่ 8 ณ IMPACT Forum Hall 4 เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดยบริษัทไทยเจียระไน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อการตลาดจีน ตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ไทย-จีน ผ่านสำนักข่าว Thailand Headlines และนิตยสาร @Mangu ที่นำเสนอข่าวไทยทุกมิติ ทั้งวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวในเมืองไทย

MITH (มิตท์) ฉลอง 9 ปีสุดยิ่งใหญ่ คว้า COCKTAIL เป็นพรีเซนเตอร์ครั้งแรก!

การเดินทางของความหอม ไม่เพียงแค่ความโดดเด่นของ “กลิ่น” ที่แตกต่าง แต่ยังหมายรวมถึงเรื่องราวจากสองข้างทางที่พบเจอมา เช่นเดียวกับความสำเร็จของแบรนด์น้ำหอม MITH (มิตท์) แบรนด์คนไทย ที่ได้รับการรังสรรค์กลิ่นจากนักปรุงน้ำหอมระดับโลก จุติณัฏฐ์ ปิยวีรวงศ์

'บิว เดอะวอยซ์' ปล่อยโฮ ชีวิตนี้อาจไม่ได้ร้องเพลงอีกแล้ว!

"ไม่รู้จะกลับไปร้องเพลงได้อีกไหม" นี่คือสิ่งที่ทำให้ บิว-จรูญวิทย์ พัวพันวัฒนะ หรือ บิว เดอะวอยซ์ กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เหตุเพราะอาการป่วยมีเลือดออกที่เส้นเสียง ที่ถึงแม้จะพักรักษาตัวเท่าไหร่ก็ยังกลับมาเป็นอีก ทำให้เจ้าตัวต้องยกเลิกงานคอนเสิร์ต ซึ่งหนุ่มบิวได้โพสต์คลิปพร้อมแคปชั่นว่า "ถ้าเป็นไปได้ บิวก็ยังอยากจะร้องเพลงต่อไป"