17 ม.ค.65-เวลา 09.00 น. ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการส่งเสริมโอกาส ความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางการศึกษา “พาน้องกลับมาเรียน” ระหว่าง 3 หน่วยงานหลักของ ศธ. ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) พร้อมด้วย 11 พันธมิตร ทั้ง กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงวัฒนธรรม (วท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรุงเทพมหานคร และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
โดยพล.ประยุทธ์ กล่าวว่า โครงการส่งเสริมโอกาส ความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางการศึกษา “พาน้องกลับมาเรียน” เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล “จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ที่ให้ความสำคัญกับ คนทุกกลุ่มและเพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับประโยชน์ในทุกด้านอย่างเท่าเทียมและเสมอภาค โดย ศธ.ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่ต้องให้การศึกษากับเด็กนักเรียนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่านมาและที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทำให้เด็กจำนวนมากหลุดออกจากระบบการศึกษาภาคบังคับ การศึกษาระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และการศึกษาตามอัธยาศัย ศธ.จึงได้ดำเนินการติดตามนักเรียน นำกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา หลังจากที่หลุดจากระบบไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา ด้วยการสร้างความร่วมมือของแต่ละหน่วยงานและการติดตามผลจากดำเนินการตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางที่เกิดจากการร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากนี้ เราจะคืนโอกาสให้กับเด็ก ๆ และสร้างโอกาสให้กับสังคม โดยการพาเด็ก ๆ กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับปีการศึกษาใหม่ 2565 นี้ โดยตั้งเป้าตัวเลขเด็กหลุดจากระบบการศึกษาต้องเป็นศูนย์
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวตนได้เห็นความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่ช่วยกันให้โอกาสเด็กที่หลุดระบบการศึกษา เพื่อให้ทุกคนได้รับกรศึกษาที่ดี ดังนั้นโครงการนี้จึงเป็นโครงการสำคัญและเป็นประโยชน์ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะทุกวันนี้มีเด็กหลุดกว่าแสนคน ซึ่งทุกคนและทุกหน่วยงานต้องช่วยกันเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา โดยตนอยากให้ศธ.สร้างความเข้าใจให้แก่เด็กได้เข้าใจว่าจะศึกษากันไปทำอะไร เพราะหลายคนหลุดออกจากระบบการศึกษาไม่ใช่สถานการณ์โควิดเพียงอย่างเดียว แต่บางครั้งเด็กที่หลุดระบบการศึกษามีความจำเป็นอย่างอื่นด้วย ดังนั้น ศธ.จะต้องไปหาข้อมูลเหล่านี้และแก้ปัญหาไปที่ละจุด พร้อมกับเจาะลึกรายครอบครัว อยากฝากให้ดูแลผู้ปกครองให้มีความพร้อมด้วย เพราะเมื่อนำเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาได้แล้วต้องอย่าให้หลุดออกไปอีก นี่คือสิ่งสำคัญว่าเราจะดำเนินการเรื่องนี้สำเร็จหรือไม่สำเร็จ
“ศธ.เป็นผู้นำการศึกษาจะต้องมีความรับผิดชอบและต้องทำงานบูรณาการกับทุกหน่วยงาน ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นของขวัญสำคัญที่รัฐบาลให้แก่ประชาชน เพราะการศึกษากับคนไทยเป็นเรื่องใหญ่จะต้องทำอย่างจริงจังหาวิธีที่เหมาะสม โดยการเรียนทุกระบบจะต้องมีมาตรฐาน ซึ่งการนำเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาเราต้องจัดหาโรงเรียนคุณภาพ แม้เราจะมีกองทุนต่างๆ เพื่อสร้างโอกาสให้แก่เด็กก็ตาม แต่เมื่อเด็กได้เรียนกับโรงเรียนที่ไม่มีคุณภาพก็เปล่าประโยชน์ ดังนั้นประเด็นนี้คือเรื่องสำคัญที่ ศธ.ต้องพิจาณาและขับเคลื่อนการสร้างโรงเรียนคุณภาพที่มีครบทุกอย่าง เพื่อเป็นการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า”นายกฯ กล่าว
ด้านนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวว่า ศธ. เล็งเห็นถึงปัญหานี้ จึงได้มีการแก้ปัญหาเชิงรุกผ่าน โครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้ง สพฐ. สช. สอศ. กศน. และพันธมิตร 11 หน่วยงาน ซึ่งถือเป็นความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ และนับเป็นครั้งแรกที่จะบูรณการร่วมกัน เพื่อให้ทราบถึงจำนวนเด็กในปัจจุบัน ที่หลุดออกจากระบบการศึกษา และจะมีการลงติดตามถึงบ้าน เพื่อตามเด็กเหล่านี้กลับสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง และจากสถิติจำนวนนักเรียนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาปี 2564 โดยแบ่งตามสังกัด ได้แก่ สังกัด สพฐ. จำนวน 78,003 คน สังกัด สป. จำนวน 50,592 คน สังกัด สอศ.จำนวน 55,599 คน และผู้พิการในวัยเรียนสังกัด พม. จำนวน 54,513 คน รวมแล้วมีนักเรียนหลุดจากระบบการศึกษามากถึง 238,707 คน ซึ่งหลังจากดำเนินการเชิงรุกตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา สามารถตามนักเรียนกลับมาเรียนได้ 127,952 ยังมีเด็กที่หลุดจากระบบจำนวน 110,755 ราย
“ศธ.มีการพัฒนาเครื่องมือติดตามนักเรียนเหล่านี้ ด้วยแอปพลิเคชันที่ชื่อ “ตามน้องกลับมาเรียน” เพื่อให้เกิดการทำงานที่สะดวกรวดเร็ว และยังสามารถเก็บเป็นฐานข้อมูลของปัญหาที่เกิดกับแต่ละครอบครัวได้อย่างละเอียด และจะได้เป็นแนวทางในการให้ความช่วยเหลืออย่างตรงจุดกับทุกเคสทุกกรณีกันต่อไป เบื้องต้นจะให้โรงเรียนต้นสังกัดติดตามนักเรียน จากนั้นกระทรวงศึกษาธิการ จะเข้าช่วยเหลือและสนับสนุนให้กลับเข้าสู่สถานศึกษาที่เหมาะสมตามบริบทของแต่ละกรณี แต่หากโรงเรียนต้นสังกัดติดตามไม่ได้ ก็จะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรที่ได้มีการทำ MOU ในวันนี้ ให้ช่วยติดตาม เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนให้กลับเข้าสู่สถานศึกษาที่เหมาะสมต่อไป เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กไทยได้กลับมามีโอกาสที่ดีในชีวิตกันอีกครั้ง”รมว.ศธ. กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กระทรวงศึกษาธิการ เร่งผลักดันการเรียนรู้แบบ Active Learning
กระทรวงศึกษาธิการ สั่ง สพฐ. เร่งผลักดันการเรียนรู้แบบ Active Learning ให้ครอบคลุมทุกภาค ทุกโรงเรียน หวัง ส่งเสริมให้นักเรียนตั้งคำถามและหาคำตอบเอง แทนการท่องจำแบบเดิม
'รมช.ศธ.' เคลียร์ปมเปิดบัญชีรับบริจาค เหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้
'สุรศักดิ์' แจงปมเปิดรับบริจาค ช่วยเหลือครู-นักเรียน เหตุรถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้ มอบ 'สพป.อุทัยธานีเขต 2' รับผิดชอบหลัก
"พล.ต.อ.เพิ่มพูน" จับมือครูเงาะ นำหลักสูตรอินเนอร์พาวเวอร์ช่วยพัฒนาครูฟรี ผ่านระบบออนไลน์ หวังใช้จิตวิทยาลดภาวะซึมเศร้าของเด็กและเยาวชน
พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานการแถลงข่าวโครงการพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
'เศรษฐา' สั่ง ศธ.เร่งแก้ไขปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษา
นายกฯ ประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงฯ ย้ำเดินหน้าแก้ไขปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษา ช่วยกันปลูกฝังให้เกลียดชังยาเสพติด แนะแบ่งเงินรางวัลนำจับเป็น 2 ส่วน เพื่อสร้างแรงจูงใจการทำงานของเจ้าหน้าที่
นายกฯตื่น! สั่ง'กสศ.' อัดฉีดเงินช่วยเหลือเด็กนักเรียนหลุดจากระบบ
นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคั