2 ธ.ค.2564-รศ. ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ มจธ.ได้ดำเนิน “โครงการเตรียมความพร้อมในการเป็นสถานที่ผลิต COVID-19 Vaccine ตามความต้องการของประเทศ” โดยใช้โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ หรือ NBF ณ พื้นที่การศึกษาของ มจธ. บางขุนเทียน ที่นับเป็นโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งแรกในประเทศไทย พร้อมกับการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเฉพาะทางด้านการวิเคราะห์และทดสอบคุณสมบัติของยาชีววัตถุและวัคซีนที่ได้มาตรฐานสากล ขึ้น ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้แผนเร่งรัดการเข้าถึงวัคซีนป้องกัน COVID-19 ของประชาชนไทย เริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย. 2564 โดยได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ
โดยความร่วมมือสร้างโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ หรือ NBF เป็นความร่วมมือระหว่าง มจธ. และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ทั้งในด้านกำลังคน องค์ความรู้ และเทคโนโลยี ที่ผนึกกำลัง ทำให้โรงงานต้นแบบฯ มีความพร้อมและได้รับความไว้วางใจ ในการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อม รองรับเทคโนโลยีกระบวนการผลิตวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ใช้เองในประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศมีโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการผลิตวัคซีน COVID-19 หรือการระบาดของเชื้ออุบัติใหม่ได้ โดยใช้กระบวนการผลิตระบบ Single Use System ที่สามารถรองรับการผลิตได้สูงสุด 2,000 ลิตรต่อรอบการผลิต นับเป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเมื่อดำเนินการติดตั้งเครื่องมือเครื่องจักรเสร็จสิ้นแล้ว มจธ. ร่วมกับบริษัท คินเจนไบโอเทค จำกัด ซึ่งเป็น Strategic partner และมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิต พร้อมที่จะดำเนินทดลองทดสอบระบบเพื่อให้โรงงานนี้สามารถผลิตวัคซีน COVID-19 ตามความต้องการของประเทศในอนาคตอันใกล้
ส่วนการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเฉพาะทางด้านการวิเคราะห์และทดสอบคุณสมบัติของยาชีววัตถุและวัคซีนมาตรฐานสากล (Biopharmaceutical Characterization Laboratory; BPCL) นั้น รศ. ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า มีความสำคัญและจำเป็น เพื่อให้ประเทศมีโครงสร้างพื้นฐานด้านห้องปฏิบัติการฯ เพื่อรองรับการผลิตวัคซีน COVID-19 ขึ้นใช้เองในประเทศ และเพื่อให้การรับรองคุณภาพและประสิทธิภาพของวัคซีน ซึ่งในต่างประเทศก็ต้องใช้ห้องปฏิบัติการนี้เช่นกัน อีกทั้งจะช่วยในการพัฒนาบุคลากรด้านการควบคุมคุณภาพในการผลิตวัคซีน โควิด รวมถึงยาชีววัตถุและวัคซีนอื่นๆขึ้นใช้เองในประเทศ และเป็นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัคซีน และยาชีววัตถุที่ได้มาตรฐาน สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา คณะผู้บริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติ นำโดย ดร.อัญชลี ศิริพิทยาคุณกิจ และ พญ.สุเนตร ชื่นกิจมงคล รองผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและควบคุมคุณภาพด้านวัคซีนและยาชีววัตถุของประเทศ ได้เข้าเยี่ยมชมเพื่อติดตามความก้าวหน้าของโครงการฯ ทั้งด้านการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนตามมาตรฐาน ตามรูปแบบที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และเครื่องมือในระบบ Single Use System พร้อมกระบวนการผลิตวัคซีน ณ มจธ. บางขุนเทียน โดยมี คณะผู้บริหาร มจธ. พร้อมด้วยผศ.สุชาดา ไชยสวัสดิ์ หัวหน้าโครงการเตรียมความพร้อมในการเป็นสถานที่ผลิต COVID-19 มจธ. ให้การต้อนรับ ซึ่งผลการดำเนินการเตรียมความพร้อมในการเป็นสถานที่ผลิตวัคซีน -19 เป็นไปตามแผนที่วางไว้คิดเป็นร้อยละ 70 ของโครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งมอบครุภัณฑ์ Single Use System อีก 5 รายการ ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ภายใน 31 ธันวาคม 2564
นอกจากนี้ผู้บริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติและคณะผู้เชี่ยวชาญฯ ยังได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการเฉพาะทางด้านการวิเคราะห์และทดสอบคุณสมบัติของยาชีววัตถุและวัคซีน (Biopharmaceutical Characterization Laboratory; BPCL) ประกอบด้วย 1) Protein Characterization 2) Biologic Testing 3) Microbial & Cell Line Characterization และ 4) Viral Vector Characterization พร้อมชมการสาธิตการใช้เครื่องวิเคราะห์แยกชนิดเชื้อจุลินทรีย์ด้วยเทคนิค MALDI-TOF/MS ณ ชั้น 4 อาคารวิจัยและนวัตกรรมกระบวนการชีวภาพ โดยมี รศ. ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ที่ปรึกษามหาวิทยาลัย ให้การต้อนรับ
สำหรับความคืบหน้าของห้องปฏิบัติการฯ มีการดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ คิดเป็นร้อยละ 90 ในอนาคตจะสามารถใช้ห้องปฏิบัติการนี้เป็นศูนย์กลางด้านการวิเคราะห์และทดสอบคุณสมบัติของยาชีววัตถุและวัคซีนของประเทศและในภูมิภาคอาเซียน โดยมหาวิทยาลัยได้มีการลงนามความร่วมมือการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญและการพัฒนาเทคนิคด้านการวิเคราะห์ยาชีววัตถุและวัคซีนจาก Shimadzu Asia-Pacific นอกจากนี้ มจธ.อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อขอรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2566 และพร้อมดำเนินการเปิดให้บริการได้ตั้งแต่ปี 2565 ต่อไปเพื่อลดการใช้บริการทดสอบที่ต่างประเทศและเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตยาชีววัตถุที่เข้ามาลงทุนในประเทศต่อไป