ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ว่า หากปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามภาวะปกติ ในทศวรรษหน้าเราจะเผชิญปัญหาหนัก และปัญหานี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงภาคการศึกษา (Education Sector) เท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบกับภาคอื่น ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ
28พ.ย.2565-จากที่ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ไทยกำลังจะเผชิญความท้าทายใหญ่หลวงในทศวรรษหน้า หากไม่เร่งเตรียมพร้อมพัฒนากำลังคนตั้งแต่วันนี้ เพราะการพัฒนากำลังคนต้องใช้เวลานั้น ดร.อรรถพล สังขวาสี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ตามที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่าประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประกอบกับเด็กเกิดลดลงมากเป็นประวัติการณ์ หลายได้ฟังก็คิดว่าเป็นปัญหาที่ทราบกันแล้ว แต่มีข้อมูลมากมายที่ชี้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อย และกำลังจะกลายเป็นวิกฤติหนักของประเทศในทศวรรษหน้า 5ประการดังนี้
ประการแรก ในอีก 11 ปีข้างหน้าผู้สูงอายุของไทยจะสูงขึ้นเป็น 28% หรือมากกว่าปัจจุบันราว 10% ซึ่งในทางวิชาการจะใช้ศัพท์ที่เรียกว่าสังคมสูงอายุระดับสุดยอด และปัจจุบันมีผู้สูงอายุ 19.2% อาศัยรายได้จากเบี้ยยังชีพจากราชการ ที่อัตราเพียงเดือนละ 600 -1,000 บาทต่อคนเท่านั้น
ประการที่สอง ผลิตภาพแรงงาน (Labour Productivity) เป็นการวัดสัดส่วนผลผลิตต่อหน่วยของแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจระยะยาว และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จากข้อมูลจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) พบว่า ผลิตภาพแรงงานต่อชั่วโมงของไทยมีทิศทางลดลงและปรับเป็นระดับหดตัวในปี 2563 ในอัตราร้อยละ -1.89 และจากการจัดอันดับของโดย Institute for Management Development (IMD) ปี2564 ผลิตภาพแรงงานของไทยอยู่ในอันดับที่ 40 จาก 64 ประเทศ
ประการที่ 3 ในปี 2562 ไทยมีกลุ่มเยาวชนว่างงานและนอกระบบการศึกษา (NEET) เยาวชนอายุ 15-24 ปี ที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษา การจ้างงาน และการฝึกอบรม มากถึง 1.3 ล้านคน (14% ของเยาวชนไทย) และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 1% ประการที่ 4 ในปี 2564 ไทยมีแรงงานฝีมือเพียง 14.4% และมีแรงงานนอกระบบมากถึง 52% ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้ไม่มีสวัสดิการ เมื่อเกษียณอายุแล้วย่อมส่งผลกับการดำรงชีวิต ในระยะยาวจะกระทบต่อรัฐในการจัดสรรงบประมาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณด้านสุขภาพ และประการที่ 5. ดัชนีทุนมนุษย์ (Human Capital Index) ที่คำนวณโดยธนาคารโลก (World Bank) ในปี 2563 อยู่ที่ 0.61 หมายความว่าเด็กที่เกิดในประเทศไทยเมื่อเติบโตขึ้นจะมีศักยภาพในระดับร้อยละ 61 ของผลิตภาพที่เป็นไปได้ของตัวเอง (Potential Productivity)
ปลัด ศธ.กล่าวต่อไปว่า ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ว่า หากปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามภาวะปกติ ในทศวรรษหน้าเราจะเผชิญปัญหาหนัก และปัญหานี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงภาคการศึกษา (Education Sector) เท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบกับภาคอื่น ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ
“อย่างไรก็ตาม ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่ามีช่องว่างที่เราสามารถเข้าไปพัฒนา คือการเตรียมพัฒนากำลังคนให้ทำงานได้เต็มตามศักยภาพ ซึ่งการพัฒนากำลังคนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและเตรียมการตั้งแต่วัยเยาว์ จึงขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญและร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการในการเตรียมพัฒนากำลังคนอย่างเต็มกำลังเพื่อให้ประเทศก้าวผ่านวิกฤตินี้”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กระทรวงศึกษาธิการ เร่งผลักดันการเรียนรู้แบบ Active Learning
กระทรวงศึกษาธิการ สั่ง สพฐ. เร่งผลักดันการเรียนรู้แบบ Active Learning ให้ครอบคลุมทุกภาค ทุกโรงเรียน หวัง ส่งเสริมให้นักเรียนตั้งคำถามและหาคำตอบเอง แทนการท่องจำแบบเดิม
'รมช.ศธ.' เคลียร์ปมเปิดบัญชีรับบริจาค เหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้
'สุรศักดิ์' แจงปมเปิดรับบริจาค ช่วยเหลือครู-นักเรียน เหตุรถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้ มอบ 'สพป.อุทัยธานีเขต 2' รับผิดชอบหลัก
"พล.ต.อ.เพิ่มพูน" จับมือครูเงาะ นำหลักสูตรอินเนอร์พาวเวอร์ช่วยพัฒนาครูฟรี ผ่านระบบออนไลน์ หวังใช้จิตวิทยาลดภาวะซึมเศร้าของเด็กและเยาวชน
พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานการแถลงข่าวโครงการพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา
'เศรษฐา' สั่ง ศธ.เร่งแก้ไขปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษา
นายกฯ ประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงฯ ย้ำเดินหน้าแก้ไขปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษา ช่วยกันปลูกฝังให้เกลียดชังยาเสพติด แนะแบ่งเงินรางวัลนำจับเป็น 2 ส่วน เพื่อสร้างแรงจูงใจการทำงานของเจ้าหน้าที่
ครม.ปรับเงื่อนไขชดใช้ทุนของ รร.วิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย
ครม.มีมติปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยไปศึกษาต่อ ณ สถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น