กางแผนส่งออกข้าวปี 65 วางเป้า 7 ล้านตัน

กรมการค้าต่างประเทศกางแผนประชาสัมพันธ์ข้าวไทยปี 65 เตรียมลุยกระชับความสัมพันธ์กับคู่ค้ารายสำคัญผ่านออนไลน์ เน้นผนึกกำลังกับเวียดนามเป็นพิเศษ พร้อมทำคลิปวิดีโอสั้นกระตุ้นการบริโภค จับมือทูตพาณิชย์ส่งเสริมการขาย เล็งเจาะซาอุดิอาระเบีย หลังฟื้นความสัมพันธ์ ส่วนการขายข้าวจีทูจียังเดินหน้าต่อ แจ้งข่าวดี ปี 64 เอกชนขายข้าวอิรักได้กว่า 2.25 แสนตัน เพิ่ม 842%

7 มี.ค. 2565 – นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ปรับแผนการประชาสัมพันธ์ตลาดข้าวไทยปี 2565 ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังคงมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยในการกระชับความสัมพันธ์กับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนผู้นำเข้ารายสำคัญในจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ จะเน้นการใช้ช่องทางออนไลน์ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อติดตามความต้องการของตลาด และหาช่องทางในการผลักดันการส่งออกข้าวไทย รวมทั้งแก้ไขปัญหาอุปสรรคการนำเข้าข้าวในแต่ละตลาด

ทั้งนี้ เฉพาะเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายสำคัญรายหนึ่งของโลก จะเน้นการหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ข้าวและปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวที่เป็นประโยชน์ระหว่างกัน

สำหรับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้าวไทย กรมฯ จะเน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และเพิ่มความนิยมในข้าวไทยในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยจัดหาเชฟหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงในสื่อโซเชียลมีเดียในต่างประเทศ จัดทำคลิปวิดีโอสั้นประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้เกิดค่านิยมในการบริโภคข้าวไทย และจะร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ในฐานะเซลล์แมนประเทศ จัดกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายข้าวไทยเชิงรุกในทุกรูปแบบเพื่อกระตุ้นการบริโภคข้าวไทยให้เพิ่มมากขึ้น

“แผนที่จะดำเนินการ มีหลากหลายรูปแบบ ที่จะทำ เช่น ร่วมกับห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร สถาบันสอนทำอาหารที่มีชื่อเสียง รวมทั้งผู้มีอิทธิพลเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการหันมาบริโภคข้าวไทยในประเทศที่เป็นตลาดนำเข้าข้าวสำคัญของไทย ได้แก่ สหรัฐฯ แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก อิตาลี และเคนยา”
นอกจากนี้ มีแผนที่จะเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศ ได้แก่ THAIFEX–Anuga Asia และในต่างประเทศ เช่น งาน Gulfood ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 คลี่คลายและสามารถเดินทางเข้าร่วมงานได้ มีแผนเข้าร่วมงาน China–ASEAN Expo (CAEXPO) ณ นครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน และ งาน Fine Food Australia ประเทศออสเตรเลีย

ขณะเดียวกัน กรมฯ มีแผนที่จะขยายตลาดข้าวไทยในซาอุดิอาระเบีย หลังจากมีการฟื้นความสัมพันธ์ โดยขณะนี้ได้ขอความร่วมมือทูตพาณิชย์ทำการสำรวจความต้องการ ทำความรู้จักผู้นำเข้าข้าวรายสำคัญของซาอุฯ ว่ามีใครบ้าง และเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ก็จะนำคณะผู้ประกอบการไทยเดินทางไปเจรจาซื้อขายข้าวต่อไป

นายพิทักษ์ กล่าวว่า การผลักดันการส่งออกข้าวไทยในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กรมฯ จะติดตามผลการเจรจาจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับอิรัก เพื่อหาข้อสรุปต่อไป และแม้จะยังไม่มี MOU ภาคเอกชนไทย ก็สามารถที่จะส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดอิรัก ได้แล้ว โดยปี 2564 ที่ผ่านมา ส่งออกไปได้สูงถึง 2.25 แสนตัน ส่วนใหญ่เป็นข้าวขาว 99.91% และข้าวหอมมะลิไทยเล็กน้อย 0.09% เพิ่มขึ้นมากถึง 842.23% ส่วน MOU กับอินโดนีเซีย และบังคลาเทศ ก็จะมีการติดตาม หากมีความต้องการซื้อข้าว ไทยก็พร้อมที่จะขายให้ทันที และล่าสุด มีติมอร์ ที่สนใจซื้อข้าวจีทูจีจากไทย กำลังคุยในรายละเอียด แต่จริง ๆ เอกชนก็ขายให้อยู่แล้ว

ส่วนสัญญาข้าวจีทูจีกับจีนปริมาณ 1 ล้านตัน ซึ่งส่งมอบไปแล้ว 7.2 แสนตัน คงเหลือ 2.8 แสนตัน ก็จะมีการติดตาม เพื่อผลักดันให้จีนซื้อข้าวไทยต่อไป แต่ล่าสุดได้รับแจ้งจากจีนว่าปริมาณผลผลิตข้าวในประเทศเพิ่มขึ้น สต๊อกเพิ่มขึ้น และราคาข้าวไทยสูง ซึ่งต้องมีการหารือกันในรายละเอียดอีกครั้ง

สำหรับเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยในปี 2565 กรมฯ และภาคเอกชนประเมินไว้ว่าจะทำได้ปริมาณ 7 ล้านตัน ซึ่งแนวโน้มการส่งออกยังเป็นไปได้ด้วยดี เพราะขณะนี้ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เบาลงแล้ว แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงเรื่องค่าระวางสูง ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน มีส่วนช่วยให้ข้าวไทยแข่งขันได้ หากไม่แข็งค่าไปกว่านี้

เพิ่มเพื่อน