สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชง 3 มาตรการ รัฐแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชนทั้งตรึงราคาสินค้า-สต็อกสินค้าอุปโภค บริโภค-แก้ไขกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและออกมาตรการควบคุมราคา
1 มี.ค. 2565 – นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาที่เกิดจากราคาพลังงานและอาหารสดที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนทุกคน และทุกระดับ โดยเฉพาะ ผู้ที่มีรายได้น้อยที่เจอผลกระทบ 2 เด้ง ทั้งในเรื่องของค่าครองชีพสูงขึ้น และรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากโควิด-19 การตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างตรงจุด
โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาสมาคมฯ มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์รายใหญ่กว่า 30 ราย เพื่อตรึงราคาให้ครอบคลุมสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันกว่า 500 รายการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 จนถึงจบไตรมาสที่หนึ่งของปี 2565 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด โดยได้ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์อย่างใกล้ชิดในการตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงสมาชิกและภาคีเครือข่ายของสมาคมฯ ยังคงรักษาอัตราการจ้างงานที่มีจำนวนกว่า 1.1 ล้านอัตราให้คงเดิมซึ่งในการประชุมครั้งล่าสุดของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ยังคงยืนยันที่จะพยายามตรึงราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มากต้องประเมินเป็นรายไตรมาส โดยเฉพาะราคาพลังงานและอาหารสดซึ่งเป็นปัจจัยหลักของปัญหาค่าครองชีพของประชาชนในขณะนี้
ทั้งนี้ขอนำเสนอมาตรการเพื่อที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจในภาวะที่ค่าครองชีพสูงและเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย
1.ตรึงราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น ซึ่งสมาคมฯ และซัพพลายเออร์ในภาคีเครือข่ายยืนยันที่จะตรึงราคาสินค้าฯ จนถึงจบไตรมาสที่หนึ่งของปี 2565 ทั้งนี้ นโยบายการตรึงราคาจะมีการประเมินเป็นรายไตรมาส
2.เตรียมสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นให้กับประชาชน เพื่อเตรียมสต๊อกสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
3.ช่วยฟื้นฟู SMEs ไทย สมาคมฯ และภาคีเครือข่ายจะเร่งขยายในเรื่องการจัดหาแหล่งเงินทุนให้ SMEs ไทยนอกจากนี้ สมาคมฯ ยังคงยืนยันที่จะพยุงการจ้างงานในระบบค้าปลีกให้อยู่ที่ 1.1 ล้านอัตรา
โดยขอให้ภาครัฐเร่งผลักดันมาตรการมาตรการเพื่อฟื้นเศรษฐกิจในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการ
1.เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายของภาครัฐ ที่มีวงเงินงบประมาณถึง 3.1 ล้านล้านบาท ให้มีการอนุมัติและดำเนินการเพื่อให้เม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว
2.การพยุงราคาพลังงานให้คงที่ โดยการใช้ทุกมาตรการเพื่อพยุงราคาพลังงานให้นานที่สุด ถึงแม้รัฐบาลได้มีมาตรการพยุงราคาน้ำมันปรับลดภาษีอัตราน้ำมันดีเซลสรรพสามิตและน้ำมันอื่นๆ 3 บาท ต่อลิตรเป็นระยะเวลา 3 เดือนแล้ว อาจจะยังไม่เพียงพอ จึงควรพิจารณามาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการออกมาตรการควบคุมราคาค่าขนส่งซึ่งค่าขนส่งถือว่ามีสัดส่วนถึง 8-10% ของต้นทุนสินค้า และ
3.กระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน โดยคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ“คนละครึ่ง” และ โครงการ “ช้อปดีมีคืน” ที่ภาครัฐดำเนินการได้ดีอยู่แล้วในการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน และเพื่อเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบจากผู้ที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ ขอให้ภาครัฐพิจารณาโครงการ “ช้อปดีมีคืน” เฟสสองเพิ่มเติม และให้ยืดทั้งระยะเวลาโครงการ รวมถึงวงเงิน ที่สามารถใช้จ่าย โดยเพิ่มจาก 30,000 บาท เป็น 100,000 บาท ทั้ง 2 โครงการจะเป็นการเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ราชกิจจาฯ ประกาศแล้ว เพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว ข้าราชการ-ลูกจ้างประจำ
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเ
สส.รวมไทยสร้างชาติ จี้พาณิชย์ควบคุมราคาสินค้า หลังชาวบ้านบ่นอุบข้าวของแพง
นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาจากที่ตนได้ลงพื้นที่ย่านการค้า ร้านอาหารและตลาดต่าง ๆ ได้รับฟังเสียงสะท้อนปัญหาค่าครอง