KKP คาดเงินเฟ้อขึ้นเป็น 2.3% กระทบผู้มีรายได้น้อยและธุรกิจเล็กไตรมาสแรกอัตราเงินเฟ้ออาจสูงสุดในรอบ 11 ปี
KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ออกรายงาน “จับตาเงินเฟ้อโลกและไทย ความเสี่ยงใหญ่เศรษฐกิจปี 2022” เผยอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยปรับประมาณการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2022จากระดับ 2% เป็น 2.3% ทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะสูงขึ้นแตะระดับ 3% ได้ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วงไตรมาส 1 จะปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 3.5% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 11 ปี โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ 3 ประการ คือ
- ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นจากทั้งปัจจัยด้านอุปสงค์ที่ฟื้นตัว การลดการลงทุนด้านพลังงานจากความกังวลเรื่องโลกร้อน และปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยราคาน้ำมันมีโอกาสพุ่งสูงขึ้นเกิน 100 เหรียญต่อบาเรลในช่วงไตรมาส 2 ของปีและเฉลี่ยทั้งปีที่ 85 เหรียญต่อบาเรล
- ราคาเนื้อหมูปรับตัวสูงขึ้นมากและอาจส่งผ่านไปสู่ราคาอาหารชนิดอื่น ๆ ปัจจุบันราคาขายปลีกหมูปรับตัวสูงขึ้นไปแล้วมากกว่า 40% ในกรณีฐานประเมินว่าราคาหมูจะค่อย ๆ ปรับตัวลดลงตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงที่ราคาหมูค้างอยู่ที่ระดับปัจจุบัน จากการนำเข้าที่ทำได้ยาก ในกรณีเลวร้ายที่ราคาหมูยังเร่งตัวต่อเนื่องมีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้ออาจสูงขึ้นแตะระดับ 3% ได้
- มาตรการรัฐในการช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟปี 2021 ในช่วงเดือนกุมภา – มีนาคม และพฤษภาคม – สิงหาคม ทำให้ฐานของราคาในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม KKP Research คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยจะค่อยๆปรับตัวลดลงโดยเฉพาะในช่วงปลายปีและความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อไทยจะสูงขึ้นแบบคุมไม่อยู่ยังมีน้อย เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขเงินเฟ้อของไทยและสหรัฐอเมริกาจะพบว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับต่ำกว่า และการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อยังกระจุกตัวอยู่ในฝั่งต้นทุนโดยเฉพาะราคาพลังงาน และราคาอาหารเท่านั้น โดยราคาสินค้าอื่น ๆ ยังแทบไม่ปรับตัวสูงขึ้นเลย ซึ่งสะท้อนผ่านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 0.2% – 0.3% เท่านั้นในปี 2021 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐ ฯ ในเดือนธันวาคมพุ่งสูงขึ้นไปที่ระดับ 5.5% แล้วซึ่งหมายความว่าเงินเฟ้อในสหรัฐ ฯ ได้รับแรงกดดันจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่กลับมาของคน และตลาดแรงงานที่ตึงตัวส่งผลให้ค่าแรงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศไทย เศรษฐกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวเต็มที่และยังอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิดและระดับศักยภาพค่อนข้างมากความเสี่ยงที่จะเกิดเงินเฟ้อแบบต่อเนื่องจึงมีน้อยและเกิดจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก
ภาวะ Stagflation
KKP Research ประเมินว่าราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบันจากราคาอาหารและพลังงาน ในสภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว มีลักษณะเป็น Stagflation แล้ว ซึ่งจะกระทบผู้มีรายได้น้อยและธุรกิจอย่างมาก เนื่องจาก
- ตระกร้าสินค้าที่แตกต่างกันของคนรายได้สูงและคนรายได้น้อยมีแนวโน้มทำให้ราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้นกระทบคนรายได้ต่ำมากกว่า โดยเมื่อแบ่งครัวเรือนเป็น 5 กลุ่มครัวเรือนรายได้น้อยที่สุดจะมีสัดส่วนการใช้จ่ายในอาหาร 49% ในขณะที่กลุ่มคนรายได้สูงจะใช้จ่ายไปกับค่าอาหารในสัดส่วนที่ต่ำกว่าคือประมาณ 31% เนื่องจากมีการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยและบริการอื่น ๆ ด้วย
- ธุรกิจหลายแห่งโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นแต่ขึ้นราคาไม่ได้ ดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนธันวาคมเติบโตขึ้นแล้วประมาณ 8% ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคเติบโตเพียงประมาณ 2% เท่านั้นสะท้อนการส่งผ่านราคาที่ยังทำได้น้อยในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว
นโยบายการเงินไทย
ปี 2022 จะเป็นปีที่นโยบายการเงินไทยเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน ในสถานการณ์ที่วัฏจักรเศรษฐกิจไทยแตกต่างจากวัฏจักรเศรษฐกิจโลก ทำให้การตัดสินใจปรับดอกเบี้ยนโยบายต้องตัดสินใจเลือกระหว่างการดูแลการเติบโตของเศรษฐกิจและการดูแลเงินเฟ้อ โดยมีความท้าทายใน 3 มิติ คือ 1) เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวจากการท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับมา 2) อัตราเงินเฟ้อโลกเพิ่มสูงขึ้นตามเศรษฐกิจโลกและส่งผ่านมาที่ไทย 3) อัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ จะเป็นแรงกดดันให้ต้นทุนการกู้ยืมสำหรับธุรกิจในไทยสูงขึ้นตาม ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไม่ได้ อาจทำให้เงินทุนมีโอกาสไหลออกมากขึ้น ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าและกระทบเงินเฟ้อให้สูงขึ้นอีกได้
ทั้งนี้ KKP Research ประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยด้านการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากที่สุด และยังเชื่อว่าเงินเฟ้อในปัจจุบันเป็นสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว โดยคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้หากนักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถกลับเข้ามาได้ตามคาด
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงสำคัญที่ยังต้องติดตามสำหรับปี 2022 คือ
1) การตึงตัวของตลาดแรงงานจากภาวะขาดแคลนแรงงาน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เพราะจำนวนแรงงานของไทยที่ลดลงต่อเนื่องอยู่แล้วจากปัญหาสังคมสูงอายุ การย้ายกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวในช่วงโควิด และการเร่งกลับมาเปิดเมืองในปีนี้ที่อาจทำให้ความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นแบบรวดเร็ว เกิดแรงกดดันจากค่าจ้างแรงงาน ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยเจอเงินเฟ้อแบบยืดเยื้อ
2) เงินเฟ้อโลกสูงกว่าที่คาดมากส่งผลให้ต้นทุนการผลิตในไทยปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
3) เงินบาทที่อ่อนค่าลงมากกว่าคาด แม้หลายฝ่ายจะคาดว่าเงินบาทน่าจะกลับมาแข็งค่าในปีนี้ แต่ KKP Research มองว่าจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังคงขาดดุลและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐ ฯ และไทยที่มากขึ้นจะทำให้บาทผันผวนและอาจอ่อนค่าลงได้ ความเสี่ยงที่กล่าวมาจะเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจไทยและเป็นแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ควรในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งจะกลับมาส่งผลสำคัญให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้น้อยกว่าที่ประเมินไว้ได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'นายกฯอิ๊งค์' เชื่อเศรษฐกิจไทยปีหน้ามีแนวโน้มดีขึ้น ตั้งเป้าจีดีพีโต 3%
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาทำงานที่มีนโยบายต่างๆสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยในปี 2568 งบประมาณจะเพิ่มขึ้น และมีการขาดดุลการคลังที่ลดลง ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี
Nvidia บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ 'เวียดนาม' แล้ว 'ไทยจะทำอย่างไร'
นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ทำไม Nvidia บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ "เวียดนาม" แล้ว "ไทยจะทำอย่างไร" เมื่อ "เวียดนาม" ขึ้นแท่น "ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน"
หอมกลิ่นความเจริญ! 'ทักษิณ' ประกาศปั้น GDP ประเทศไทยให้ถึง 4-5 %
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บรรยายพิเศษหัวข้อ อนาคตอีสาน โอกาสประเทศไทย ในงานสัมมนา ISAN NEXT : พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับเครือมติชน
'สุดารัตน์' ถามนายกฯ เตรียมรับมือเศรษฐกิจปีหน้าหรือยัง ชี้แจกเงินหมื่นไม่ตอบโจทย์
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงเศรษฐกิจประเทศไทยภายใต้รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ในปี 2568 เศรษฐกิจไทยมีปัญหาอยู่แล้ว คือหนี้ภาคครัวเรือนที่มีสูงถึง 92%
‘อนุสรณ์’ วิเคราะห์ ‘ทรัมป์2.0’ ไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ ศก. พึ่งพาตัวเองมากขึ้น
ทรัมป์ 2.0 ไทยต้องปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจหันพึ่งพาตัวเองมากขึ้น สินค้านอกข้อตกลงเอฟทีเอกระทบรุนแรง สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯรอบใหม่อาจนำไปสู่สงครามเย็นรอบใหม่ในไม่ช้า
เศรษฐกิจไทย ทำไมยังไม่ไปไหนเสียที
ก่อนหน้าที่ดิฉันจะเข้าทำงานที่องค์การสหประชาชาติเมื่อเกือบ 8 ปีก่อน ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ชื่นชมประเทศไทยมากนัก เพราะรถติดมากแทบทุกวัน