
ชาวไทยมีหนี้ครัวเรือนบวกหนี้สาธารณะเฉลี่ยมากกว่า 400,000 บาทต่อคน แก้หนี้ต้องกระจายรายได้และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้เป็นธรรม สร้างโอกาสทำงานรายได้สูง ซื้อหนี้เพียงบรรเทาและย้ายเจ้าหนี้เท่านั้น ปล่อยกลไกตลาดการเงินทำงาน หากจำเป็นถึงแทรกแซงโดยเงินสาธารณะ
23 มี.ค.2568- รศ. ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และอดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนล่าสุด (ไตรมาสสามปี 2567) อยู่ที่ 16.34 ล้านล้านบาท สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ระดับ 89% แม้นสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงจากระดับสูงกว่า 90% โดยเฉพาะในช่วงโควิด หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเคยขึ้นไปแตะระดับ 95.5% ขณะนี้มาอยู่ที่ 89% ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่เกิดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และแนวโน้มของหนี้เสีย 1.2 ล้านล้านบาทอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก โดยสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นหนี้เสียมากที่สุด คิดเป็น 23.35% ของสินเชื่อรวม ต้องดึงสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลงมา จาก ระดับ 89% ให้มาอยู่ที่ 80% เท่ากับว่า ต้องเพิ่มรายได้โดยรวมอีกอย่างน้อย 1.63 ล้านล้านบาทจึงจะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยภาพรวมได้ มาตรการซื้อหนี้มาบริหารต้องปล่อยให้กลไกตลาดในตลาดการเงินทำงาน รัฐบาลจะเข้าแทรกแซงก็ต่อเมื่อกลไกตลาดล้มเหลว
หากใช้เงินสาธารณะดูแลต้องมีกลไกและแนวทางชัดเจนในการทำอย่างไรไม่ให้เกิด Moral Hazard ในระบบการเงินและส่งเสริมวินัยทางการเงินของครัวเรือน สิ่งที่รัฐบาลต้องทำมากที่สุด คือ ทำอย่างไรให้ จีดีพีโตขึ้นเร็วที่สุด รายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นมากพอที่จะชำระหนี้ได้ด้วยตัวเอง การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ ปฏิรูปขีดความสามารถในการแข่งขัน กระจายรายได้ให้เป็นธรรม เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ เป็น สิ่งที่ช่วยให้แก้ปัญหาครบทุกมิติ คือ หนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะ หนี้ภาคเอกชน
หนี้ครัวเรือนไทยชะลอตัวลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 อัตราสินเชื่อเติบโตต่ำลงจาก หนี้รถหดตัว สินเชื่อบ้านโตต่ำ แต่หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคยังขยายตัว สะท้อน ครัวเรือนส่วนใหญ่ยังกู้เงินเพื่อไปเสริมสภาพคล่องในการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ได้ก่อหนี้ก้อนใหญ่เพื่อซื้อทรัพย์สินแต่อย่างใด ครัวเรือนในแต่ละระดับรายได้มีความสามารถในการรับมือกับภาระหนี้แตกต่างกันไป หนี้ครัวเรือนที่เป็นหนี้เสีย 1.2 ล้านล้านบาทส่วนใหญ่เป็นหนี้เสียจากครัวเรือนรายได้น้อย
จากข้อมูลล่าสุด พบว่า เงินให้กู้ยืมคงค้างภาคเอกชนของสถาบันรับฝากลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 สะท้อน สถาบันการเงินเอกชนและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จึงทำให้ ครัวเรือน และ เอกชน จำนวนไม่น้อยที่มีความเสี่ยงสูงและฐานะการเงินอ่อนแอไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ และอยู่ในภาวะขาดสภาพคล่อง การใช้มาตรการระดับจุลภาคไล่แก้ไปทีละราย ทีละจุด ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วเพียงพอ ต้องใช้นโยบายมหภาคที่มีผลในวงกว้าง เช่น ลดดอกเบี้ย ผ่อนคลายเกณฑ์ในการปล่อยสินเชื่อ การบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น
ชาวไทยมีหนี้ครัวเรือนบวกหนี้สาธารณะเฉลี่ยมากกว่า 400,000 บาทต่อคน แก้หนี้ต้องกระจายรายได้และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้เป็นธรรม สร้างโอกาสทำงานรายได้สูง ซื้อหนี้เพียงบรรเทาและย้ายเจ้าหนี้เท่านั้น ควรปล่อยกลไกตลาดการเงินทำงาน หากจำเป็นถึงแทรกแซงโดยเงินสาธารณะและต้องมุ่งไปที่กลุ่มคนรายได้น้อยสุดที่อยู่ในกับดักของหนี้สินอาจต้องใช้วิธีลดหนี้หรือยกเลิกหนี้ให้ รัฐบาลอาจใช้มาตรการลดหย่อนภาษีเป็นแรงจูงใจให้กลไกตลาดในตลาดซื้อขายหนี้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมา หนี้ครัวเรือนจำนวนหนึ่งได้ถูกแปลงเป็นหนี้สาธารณะผ่านมาตรการเศรษฐกิจต่างๆรวมทั้งการแจกเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยมาตรการเศรษฐกิจต่างๆและมาตรการการแจกเงิน รัฐบาลต้องไปก่อหนี้สาธารณะกู้เงินมา การดำเนินงานเหล่านี้เป็นผลทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 90% และหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอาจจะแตะระดับ 70% ในปี พ.ศ. 2572 ขณะนี้อยู่ที่ 64.13%
ย้อนกลับไปปี พ.ศ. 2566 หนี้ครัวเรือนคงค้างไตรมาสสอง ปี 2566 อยู่ที่ 15.3 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นประมาณ 1.1 แสนล้านบาทจากไตรมาสแรกที่มีอยู่ยอดหนี้ครัวเรือนคงค้างอยู่ที่ 15.19 ล้านล้านบาท เมื่อนำมาคำนวณ ในช่วงไตรมาสสองปี 2566 สองปีที่แล้ว พบว่า หนี้เฉลี่ยรายบุคคลอยู่ที่ 231,818 บาทต่อคน หนี้ครัวเรือนของชาวไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 546,428 แสนบาทต่อครัวเรือน เป็นหนี้ในระบบประมาณ 59-60% หนี้นอกระบบ 39-40% ชาวไทยในวัยทำงานอายุไม่เกิน 35 ปี มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 25,000-27,000 บาท ขณะที่รายจ่ายครัวเรือนเฉลี่ยแต่ละเดือนเกือบเท่ากับรายได้จึงไม่มีเงินออม เมื่อมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ค่าใช้จ่ายฉุกเฉินมากกว่ารายจ่ายปรกติ จึงจำเป็นต้องก่อหนี้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้เพียงพอ ทำอย่างไรให้ รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของชาวไทยในวัยทำงานเริ่มสร้างความมั่นคงในชีวิตและครอบครัวเพิ่มขึ้นไปที่ระดับประมาณ 30,000-35,000 บาท จะทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้เสียลดลงอย่างชัดเจน
ประเทศไทยในปี 2566 ไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงเป็นอันดับสองในเอเชีย รองจากเกาหลีใต้ และ อยู่ในอันดับที่ 12 ของโลกในขณะนั้น ขณะเดียวกัน คนไทยมีหนี้สาธารณะที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบเฉลี่ยท่านละ 168,430 บาท จะเห็นได้ว่า ชาวไทยมีภาระหนี้สินส่วนครัวเรือนรวมหนี้สาธารณะอยู่ที่ท่านละ 400,248 บาท ฉะนั้นการตั้งเป้าให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เต็มศักยภาพที่ 5-6% เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้เศรษฐกิจมีรายได้สูงขึ้น และ ต้องสร้างกลไกให้เกิดการกระจายรายได้มายังคนส่วนใหญ่อย่างทั่วถึง
สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ระดับ 89 % ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทที่ก่อหนี้เกินตัวที่อาจปะทุขึ้นในอนาคต บวกกับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่ระดับ 64.13% (ณ. เดือนมกราคม 2568) คิดเป็นมูลค่าหนี้สาธารณะ 11.95 ล้านล้านบาท หนี้ทั้งสามมิตินี้ อันประกอบไปด้วย หนี้ครัวเรือน หนี้เอกชน หนี้สาธารณะ อาจจะกดทับต่ออัตราการขยายเศรษฐกิจไทยในระยะ 2 ปีข้างหน้า อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่เริ่มคลายตัวลง ทำให้สถานการณ์หนี้สินกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย
หนี้ครัวเรือนเป็นหนี้นอกระบบสูงกว่า 20% นั้นต้องแก้ไขโดยการยกเลิกเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบเพื่อให้เงินกู้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น การดำเนินมาตรการและนโยบายกำหนดเพดานดอกเบี้ยในระบบช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนเป็นความพยายามแก้ปัญหาความเดือดร้อนจากภาวะดอกเบี้ยลอยตัว แต่ได้สร้างปัญหาให้กับครัวเรือนและประชาชนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ เนื่องจากสถาบันการเงินในระบบไม่ยอมปล่อยสินเชื่อหรือเงินกู้ให้กับผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงด้วยอัตราดอกเบี้ยเพดานตามที่ทางการกำหนด การแก้ปัญหาการคิดอัตราดอกเบี้ยสูงเกินไปของสถาบันการเงินในระบบแก้ด้วยการเปิดเสรีให้มีการแข่งขันมากขึ้น ไม่ใช่กำหนดเพดานทำให้อัตราดอกเบี้ยไม่สะท้อนความเสี่ยงของผู้กู้ การกำหนดเพดานดอกเบี้ยในระบบจึงกลายเป็นการผลักหนี้นอกระบบเพิ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ การเปิดเสรี Virtual Bank และ การให้บริการของ Virtual Bank เปิดใหม่ จะทำให้ประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้บริการทางการเงินเพิ่มขึ้น
มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ยืดการชำระหนี้ให้ยาวขึ้น ลดดอกเบี้ย จนถึง พักหนี้ที่ทำกันมาเกือบทุกรัฐบาลก็ทำได้เพียงแค่บรรเทาปัญหาวิกฤติหนี้สินครัวเรือน แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่รากฐานแห่งการเป็นหนี้ นอกจากนี้หากดำเนินการอย่างไม่รัดกุมและเลือกใช้มาตรการพักหนี้บ่อยๆ จะทำให้เกิดจริยวิบัติ (Moral Hazard) ในระบบการเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ และ จะสะสมความเสี่ยงของการเกิดวิกฤติระบบสถาบันการเงินในอนาคตได้ มาตรการแก้ไขหนี้สินนั้นต้องกระจายรายได้และกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้เป็นธรรม สร้างโอกาสการทำงานด้วยรายได้สูงให้กับประชาชน ธุรกิจอุตสาหกรรมต้องสามารถเพิ่มมูลค่าด้วยความรู้และนวัตกรรม แปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีราคาและมูลค่าสูงขึ้น
การปรับลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมายของสถาบันการเงิน ผ่อนกฎเกณฑ์การตั้งสำรองหนี้เสียหรือหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้กับธนาคาร ลดหย่อนภาษีการขายหรือโอนทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงิน อาจมีความจำเป็นในระยะต่อไปหากปัญหาการไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อและปัญหาหนี้สินไม่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างชัดเจน
ขณะนี้มีกระบวนการ Deleveraging ก่อหนี้ลดลง ทั้งในภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ อยู่ แต่มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นในส่วนของภาครัฐเพราะต้องทำงบประมาณขาดดุลเพิ่มทั้งปีงบประมาณ 68 และ 69 การ Deleveraging ภาคเอกชน ทั้งครัวเรือนและธุรกิจช่วยลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงินในอนาคต แต่ต้องดูว่า การก่อหนี้ที่ลดลงกระทบต่อสภาพคล่องของครัวเรือนและธุรกิจหรือไม่ การไม่ปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินอาจทำให้ ครัวเรือนและธุรกิจที่มีการฟื้นตัวของรายได้ช้า ประสบปัญหาสภาพคล่องในการดำเนินชีวิตและดำเนินกิจการได้ ภาวะการเงินยังมีความตึงตัวแต่เศรษฐกิจยังขยายเป็นบวกได้ ส่วนหนึ่งสะท้อนวัฏจักรสินเชื่อ (Credit to GDP cycle) ซึ่งยังอยู่ในช่วงขาลง โดยที่ขาลงนี้จะใช้เวลาประมาณ 16-24 ไตรมาส วัฏจักรสินเชื่อปัจจุบันอยู่ในช่วงขาลงมาแล้วประมาณ 13 ไตรมาส ระบบการเงินไทยโดยภาพรวมยังคงมีเสถียรภาพ ไม่มีสัญญาณฟองสบู่ใดๆ มีปัญหาคุณภาพสินเชื่อด้อยลงบ้าง ไม่มีการเก็งกำไรเกินขนาด ฉะนั้น มาตรการการเงินและนโยบายการเงินยังสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้อีกเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พ่อนายกฯ ลั่นซื้อหนี้ประชาชนต้องเกิดปีนี้ ขอใจเย็นดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นศก.แน่
‘ทักษิณ’ บอก ซื้อหนี้ประชาชนต้องทำ ระบุ เกิดขึ้นปีนี้ เชื่อน่าไปได้ดี พร้อมขอใจเย็นๆ ดิจิทัลวอลเล็ต ช่วยกระตุ้นศก.แน่
'ศิริกัญญา' มองแนวคิดซื้อหนี้เสียประชาชน ซ้ำรอยดิจิทัลวอลเล็ต เสียหายมากกว่า
นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดให้รัฐบาลรับซื้อหนี้เสียคืนจากประชาชน
'นายกฯอิ๊งค์' เผยที่มาไอเดีย 'ทักษิณ' ซื้อหนี้ประชาชน
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีแนวคิดของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องการซื้อหนี้ของประชาชนออกจากระบบธนาคาร ซึ่งเมื่อประกาศออกไปประชาชนก็ว้าวมากว่าจะซื้ออย่างไร