ทําอย่างไรให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวสูงขึ้น

อาทิตย์ที่แล้วมีคําถามเข้ามามากจากหลายรายการที่เจาะลึกเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งวิทยุและสื่อออนไลน์ ถามหรือขอความเห็นผมเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเด็นว่าทำไมเศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ต่ำต่อเนื่อง เศรษฐกิจจะเข้าสู่ทศวรรษที่สูญหายเหมือนญี่ปุ่นหรือไม่ และจะสามารถกลับมาขยายตัวในอัตราที่สูงได้หรือไม่ เป็นคำถามที่อยู่ในใจคนไทยทุกฝ่ายด้วยความห่วงใย วันนี้จึงอยากเขียนให้คิดเรื่องนี้เพื่อแชร์ความเห็นของผมให้ผู้อ่านทุกท่านทราบ  

17 มี.ค. 2568 – อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยลดตํ่าลงต่อเนื่องจริง ๆ ตลอดช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าเสียดายมาก เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 6 ต่อปีช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 จากนั้นลดลงเหลือเฉลี่ยร้อยละ 4 สิบปีแรกหลังวิกฤติและลดลงเหลือเฉลี่ยร้อยละ 3 ช่วงก่อนวิกฤติโควิด หลังวิกฤติโควิดอัตราการขยายตัวลดลงอีกเหลือเฉลี่ยร้อยละ 2 ล่าสุดปีที่เเล้ว 2567 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.4 ต่ำสุดหรือเกือบต่ำสุดในภูมิภาค เห็นได้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้ลดลงแบบขั้นบันไดตลอดหลังปี 2540 ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่ประสบวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 เหมือนกัน เช่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ต่างเติบโตหลังปี 2540 ได้อย่างเข้มแข้ง เกาหลีใต้ปัจจุบันได้พัฒนาและยกระดับตัวเองเป็นเศรษฐกิจรายได้สูง หรือเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่อินโดนีเซียอัตราการขยายตัวสูงกว่าไทยเกือบสองเท่า ขยายตัวร้อยละ 5 ปีที่แล้ว คําถามคืออะไรเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย ทําไมประเทศอื่น ๆ เขาเติบโตกันได้ดี ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ของเรากลับถดถอยเหมือนไม่ไปไหน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเป็นสิบ ๆ ปี อะไรคือสิ่งที่เราทําผิดหรือไม่ได้ทํา อะไรคือคําตอบ นี่คือคําถามที่คนไทยทุกคนต้องการคำตอบ

ในทางเศรษฐศาสตร์ คําตอบคือโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศเราหลังปี 2540 อ่อนแอลงมากและต่อเนื่อง และความอ่อนแอนี้เป็นข้อจํากัดที่ทําให้เศรษฐกิจไม่สามารถขยายตัวในอัตราที่สูงได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำต่อเนื่อง และอัตราการขยายตัวที่ตํ่าก็นับวันจะยิ่งต่ำลงเพราะความอ่อนแอของโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น ๆ สร้างข้อจํากัดมากขึ้นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ

ความอ่อนแอของโครงสร้างเศรษฐกิจสะท้อนให้เห็นชัดเจนจากผลิตภาพการผลิต หรือ Productivity ของประเทศที่ตํ่า คือประเทศมีความสามารถต่ำที่จะเพิ่มการผลิตหรือสร้างรายได้ในระดับที่สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ภาคเกษตร ที่เป็นฐานรายได้หลักของคนไทยกว่าหนึ่งในสาม ผลผลิตต่อไร่ของเกษตรไทยไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ต่างกับเวียดนามที่ผลผลิตต่อไร่ เช่น ข้าว เพิ่มเอาๆ หรือภาคส่งออก ที่สินค้าส่งออกของไทยยังเหมือนเดิม คือส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะไม่มีนวัตกรรม ไม่มีการพัฒนา เศรษฐกิจจึงไม่มีสินค้าส่งออกตัวใหม่ที่จะแข่งขันและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ผลคือเศรษฐกิจไม่มีความสามารถที่จะเพิ่มการผลิตและเติบโต เศรษฐกิจจึงขยายตัวในอัตราที่ต่ำ และยิ่งข้อจํากัดเหล่านี้ไม่มีการแก้ไข เศรษฐกิจก็ขยายตัวในอัตราที่ต่ำต่อเนื่อง

สาเหตุที่ทําให้ผลิตภาพการผลิตของประเทศเราต่ำ ทั้งในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ก็เพราะตั้งแต่หลังวิกฤติปี 2540 ประเทศไทยไม่มีการลงทุนที่เข้มแข็งเหมือนประเทศอื่นทั้งโดยภาครัฐและเอกชน อัตราการลงทุนรวมลดลงจาก 30 เปอร์เซนต์ของจีดีพีช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 เหลือ 16-19 เปอร์เซนต์ในปัจจุบัน เมื่อไม่ลงทุน ประเทศก็ไม่เติบโต นี่คือข้อเท็จจริง การลงทุนที่พูดถึงนี้ หมายถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโดยภาครัฐโดยเฉพาะในชนบท เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน การลงทุนในทุนมนุษย์ ทรัพยากรบุคคล เช่น การศึกษา สาธารณสุข ที่จะสร้างพลเมืองและกําลังแรงงานของประเทศที่เข้มแข็ง มีความรู้ มีทักษะ มีคุณภาพแข่งขันได้กับต่างประเทศ การลงทุนในดิจิตอลเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ ให้บริการได้ครบถ้วนทั่วถึงในราคาที่ไม่แพง เพื่อให้คนในประเทศและภาคธุรกิจใช้ประโยชน์เพื่อยกระดับความรู้ ประสิทธิภาพ และความสามารถในการแข่งขัน และการลงทุนของภาคธุรกิจเองที่จะขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจ เหล่านี้คือพื้นฐานของการเติบโตของเศรษฐกิจ ความกินดีอยู่ดีของประชาชน และความเข้มแข้งของประเทศ

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ประเทศไทยควรทํา แต่ไม่ได้ทําหรือทําไม่จริงจัง เราจึงไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างที่ควรจะเป็น นี่คือความผิดพลาด เช่น ภาคเกษตรไม่สามารถยกระดับเป็นเกษตรอัจฉริยะได้ เพราะไม่มีโครงสร้างพื้นฐานในชนบทสนับสนุน แม้ความต้องการอาหารทั่วโลกจะมีแบบไม่จำกัด ภาคอุตสาหกรรมมีข้อจํากัดในการทำนวัตกรรมเพื่อแข่งขันกับต่างประเทศ เพราะขาดความพร้อมในโครงสร้างพื้นฐาน ระบบนิเวศของเทคโนโลยี และแรงงานที่มีทักษะมีคุณภาพ นักลงทุนต่างประเทศที่ต้องการลงทุนในไทยก็เจอปัญหานี้เช่นกัน ความไม่พร้อมเหล่านี้ทําให้ประเทศไทยและคนไทยเสียโอกาส เศรษฐกิจจึงโตช้าและล้าหลังประเทศอื่น และถ้าเรายังไม่ทําอะไร ข้อจํากัดก็จะยิ่งมากขึ้น โดยเฉพาะจากแรงกดดันของสังคมสูงวัยที่จะทําให้กําลังแรงงานของประเทศยิ่งเล็กลงและรัฐมีภาระมากขึ้นที่ต้องดูแลผู้สูงวัย ลดทอนทรัพยากรที่จะนําไปใช้ในการลงทุน

คําถาม เราจะแก้ความอ่อนแอของโครงสร้างเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศที่ตํ่านี้ได้อย่างไร

คำตอบ ต้องปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อลดข้อจํากัดที่ทําให้การลงทุนในประเทศไม่เกิดและเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวตํ่า และสิ่งที่ประเทศไทยต้องทําในการปฏิรูปนี้ ถ้าพิจารณาจากการวิเคราะห์และความเห็นของทีมไอเอ็มเอฟที่ประเมินเศรษฐกิจไทยล่าสุด เรียงลำดับตามความสำคัญ คือ

หนึ่ง ต้องปฏิรูปเพื่อเพิ่มการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจให้มีมากขึ้น เปิดกว้างเศรษฐกิจ (Openness) ให้ปลอดจากหรือลดการควบคุมของภาคทางการ ประเด็นนี้ชัดเจนว่าไอเอ็มเอฟมองปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่โต คือการแทรกแซงระบบเศรษฐกิจของภาครัฐที่ส่งผลให้การแข่งขันในระบบเศรษฐกิจมีน้อยลง การผูกขาดและการมีอํานาจเหนือตลาดของผู้เล่นรายใหญ่มีมากขึ้น ทําให้ภาคเอกชนอื่น ๆ ไม่อยากลงทุน เศรษฐกิจของประเทศจึงไม่โต

สอง ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านกายภาพและ ICT technology รวมทั้งยกระดับและปรับทักษะกําลังแรงงานของประเทศ เพื่อให้ภาคการผลิตและภาคส่งออกสามารถนําดิจิตอลเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

สาม ต้องปฏิรูปเรื่องธรรมาภิบาล ทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการทุจริตคอรัปชั่นในภาครัฐสะท้อนจากดัชนี CPI หรือการรับรู้คอรัปชันที่แย่ลงต่อเนื่อง ซึ่งไอเอ็มเอฟมองคอรัปชันว่าเป็นข้อจํากัดตัวแม่ (Critical constraint) ที่ทําให้เศรษฐกิจไทยไม่โต

นี่คือสิ่งที่ต้องทํา สิ่งที่ต้องปฏิรูป เพื่อให้ประเทศและเศรษฐกิจไทยเดินไปข้างหน้า แต่ความตั้งใจและความพยายามที่จะทําอะไรจริงจังในเรื่องเหล่านี้โดยภาครัฐ คือนักการเมืองและระบบราชการ นีน้อยมาก การปฏิรูปหรือการแก้ปัญหาจึงไม่เกิดขึ้น ผลคือความอ่อนแอในโครงสร้างเศรษฐกิจมีอยู่ต่อไป ภาคเอกชนไม่ลงทุน และเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ต่ำ เปรียบเหมือนรถยนตร์ที่หมดสภาพ เครื่องยนต์และระบบต่าง ๆ ต้องซ่อมใหญ่ คือปฏิรูป แต่เจ้าของไม่ทํา เอาแต่จะเติมน้ำมันและเหยียบคันเร่ง คือกระตุ้นเศรษฐกิจ รถยนตร์จึงไปได้ไม่ไกล วิ่งช้า และถูกคันอื่นแซง นี่คือประเทศเรา การปฏิรูปเศรษฐกิจจึงสําคัญมาก

หลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ทั้งเกาหลีใต้ ไทย และอินโดนีเซีย ล้วนปฏิรูประบบการเงินของประเทศเพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้วิกฤติเกิดขึ้นอีกและสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่เกาหลีใต้ไปไกลสุด คือปฏิรูปทั้งภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจจริงโดยทําทันทีหลังวิกฤติปี 2540 ผลคือเศรษฐกิจเกาหลีใต้พุ่งทะยานอย่างที่เห็น อินโดนีเซียเหมือนไทยทําแต่ปฏิรูปภาคการเงินในช่วงแรก แต่ช่วงสิบปีที่แล้วสมัยประธานาธิบดีโจโกวี ก็เริ่มปฏิรูปภาคเศรษฐกิจจริง เช่น ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ลดการอุดหนุนราคานํ้ามัน และวางระบบงานเพื่อเอาจริงเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น ผลคือเศรษฐกิจและภาคธุรกิจในอินโดนีเซียเติบโตแบบก้าวกระโดดและเป็นที่ชื่นชมของนักลงทุนต่างประเทศ แต่ไทยหลังปฏิรูปภาคการเงินหลังวิกฤติปี 2540 ก็ไม่ได้ทําอะไรเลย ไม่มีการปฏิรูปภาคเศรษฐกิจจริงจนถึงทุกวันนี้ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจึงตํ่าสุดในภูมิภาค และสามเรื่องที่ไอเอ็มเอฟเสนอก็คือการปฏิรูปภาคเศรษฐกิจจริง

ดังนั้น ปัญหาใหญ่สุดของเศรษฐกิจเราเวลานี้ คือ ทําอย่างไรให้การปฏิรูปภาคเศรษฐกิจจริงเกิดขึ้น ทําอย่างไรให้นโยบายและมาตรการที่ภาครัฐทําตรงกับการแก้ไขปัญหาที่ประเทศมี ทําอย่างไรให้นักการเมืองและข้าราชการประจําที่ทํานโยบายให้ความสำคัญ เอาใจใส่ และมุ่งแก้ไขจุดอ่อนในโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศด้วยการปฏิรูป เพื่อปลดปล่อยพลังทางเศรษฐกิจที่ประเทศมี นําประเทศไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูงขึ้น ด้วยจิตวิญญาณผู้นําและข้าราชการที่ต้องการสร้างชาติสร้างประเทศให้เจริญ มั่นคง เข็มแข็ง เพื่อความปลอดภัยและความผาสุขของคนไทยทั้งประเทศ ทั้งที่เกิดแล้วและยังไม่เกิด นี่คือสิ่งที่เราต้องช่วยกันผลักดัน

เขียนให้คิด

ดร บัณฑิต นิจถาวร

ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

bandid.n@ppgg.foundation

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เท้ง' ถอนหงอก 'แม้ว' พูดคำโต แต่ทำไม่ได้!

หัวหน้าพรรคปชน. ซัด 'ทักษิณ' โชว์วิชั่น 'เศรษฐกิจดิจิทัล' อาจซ้ำรอย 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ที่เคยประกาศแจกพร้อมกันให้เกิดพายุหมุน แต่ต้องแบ่งเป็นเฟส แนะเลิกใช้ภาษีประชาชนแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ลั่นอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงจริง ไม่ใช่แค่คำพูดที่ดูโต แต่ทำไม่ได้