สศอ. เผย MPI เดือนแรกปี 68 ส่งสัญญาณดีขึ้น

สศอ. เผย MPI เดือนแรกปี 68 ส่งสัญญาณดีขึ้น รับอานิสงส์มาตรการภาครัฐ คาด ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หนุนภาคการผลิตกระเตื้อง

28 ก.พ. 2568 – นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนม.ค. 2568 อยู่ที่ระดับ 98.89 หดตัว 0.85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวจากเดือนก่อน 8.70% และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 60.38% โดยได้รับปัจจัยบวกจากรัฐบาลที่มีโครงการเพื่อแบ่งเบาภาระของประชาชน และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือ GDP ได้ประมาณ 0.275% นอกจากนี้ ยังมีโครงการพักหนี้ “คุณสู้ เราช่วย” ที่เข้ามาช่วยประชาชนในการตัดเงินต้น พักดอกเบี้ย 3 ปี และปิดจบหนี้ และ โครงการลดหย่อนภาษีผ่าน Easy E-Receipt 2.0 ทำให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้น

รวมถึงตลาดส่งออกที่ขยายได้ดี สะท้อนจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเดือนม.ค. 68 ที่ขยายตัว โดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยานรบ) ขยายตัว 11.80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เป็นต้น

ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลลบต่อภาคการผลิต ได้แก่ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหาค่าครองชีพ และสถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังอยู่ในระดับที่สูง กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภคส่งผลให้การบริโภค ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้มาตรการกีดกันทางการค้า  ที่สหรัฐฯ นำมาใช้จัดเก็บภาษีจาก 3 ประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก แคนาดา และจีน อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีนที่อาจจะทะลักเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้น

สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทยเดือนม.ค. 68 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” โดยปัจจัยภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังใกล้เคียงกับเดือนก่อน ตามปริมาณสินค้านำเข้าที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง รวมถึงความเชื่อมั่นทั้งทางธุรกิจและผู้ผลิตที่มีระดับเพิ่มขึ้นไม่มากจากเดือนก่อน ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ปกติเบื้องต้นตามการขยายตัวของความเชื่อมั่นทางธุรกิจและแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯแต่การผลิตของประเทศยูโรโซนและญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเฝ้าระวังตามผลผลิตที่หดตัว

ขณะที่ เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.0 คาดว่าจะทำให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตไทยได้รับอานิสงส์จากการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในครั้งนี้ โดยเฉพาะในด้านของการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจ เนื่องจากสามารถลงทุนในการพัฒนาใหม่ ๆ ได้มากขึ้นโดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงเกินไป ซึ่งทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีการขยายตัวเร็วขึ้นในระยะสั้น ความสามารถในการแข่งขัน ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ ส่งผลทำให้ราคาสินค้าหรือบริการมีราคาถูกลง และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

 “สศอ. ได้ประมาณการผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ในครั้งนี้ โดยคาดว่าจะส่งผลทำให้ GDP ภาคการผลิตในปี 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับกรณีที่ ธปท. ไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ สศอ. ได้เดินหน้าปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเพื่อช่วยพลิกฟื้นภาคอุตสาหกรรมไทยให้เป็นเครื่องยนต์สำคัญที่จะเพิ่มแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าให้ภาคอุตสาหกรรมมีส่วนผลักดัน GDP ของประเทศให้เติบโตขึ้นไม่น้อยกว่า 1%” นายภาสกร กล่าว

เพิ่มเพื่อน