
‘ขสมก.’ เร่งเครื่องจัดหารถเมล์ไฟฟ้า มี.ค. นี้ จ่อชง ครม.เคาะ 1,520 คัน ระยะเวลาเช่า 7 ปีปักธงทยอยรับรถล็อตแรกให้บริการ 500 คันในเดือนส.ค.นี้ มั่นใจช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ 70%
25 ก.พ. 2568 – แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ขสมก. ในวันที่ 26 ก.พ. 2568 ขสมก. เตรียมรายงานบอร์ดฯ เพื่อทราบถึงโครงการเช่ารถโดยสารประจำทาง (รถเมล์) ปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) จำนวน 1,520 คัน วงเงิน 15,355 ล้านบาท ระยะเวลาเช่า 7 ปี หลังจากผ่านความเห็นจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์, สำนักงบประมาณ, กรมบัญชีกลาง และกระทรวงการคลังแล้ว
ทั้งนี้ หลังจากนั้นจะเสนอไปยังกระทรวงคมนาคมพิจารณาเห็นชอบ ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติในช่วงต้นเดือน มี.ค. 2568 อย่างไรก็ตาม ขสมก. จะต้องดำเนินการเปิดประกวดราคา (ประมูล) ตามกรอบระยะเวลาให้แล้วเสร็จภายใน 55 วัน คาดว่า จะลงนามสัญญาเช่าภายในเดือน เม.ย.นี้ และทยอยรับรถล็อตแรกจำนวน 500 คันในเดือนสิงหาคม 2568 โดยมีแผนจะนำมาวิ่งให้บริการทันทีในเส้นทางเขตเมืองฯ เพื่อช่วยแก้ปัญหามลภาวะฝุ่นละออง PM2.5 ส่วนล็อตที่ 2 จะทยอยรับมอบในช่วงปลายปี 2568 และจะครบ 1,520 คันภายในปี 2569
สำหรับการเช่ารถเมล์ปรับอากาศ EV ในครั้งนี้นั้น เพื่อทดแทนรถโดยสารธรรมดา (รถเมล์ร้อน) ของ ขสมก. พร้อมทั้งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง และการซ่อมบำรุง คาดการณ์ว่า จะสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 70% ซึ่งจะทำให้ ขสมก. สามารถชำระหนี้สะสมคืนให้ภาครัฐมูลค่า 1 แสนกว่าล้านบาทภายในไม่เกิน 7 ปี โดยในการส่งมอบรถนั้น เอกชนผู้ชนะการประมูล จะต้องไปดำเนินการจดทะเบียน จัดรูปแบบรถ สีของรถตามที่กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กำหนด และเป็นไปตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย
ด้านนายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กล่าวว่า ขสมก.มั่นใจว่าเมื่อมีการปรับเปลี่ยนรถเมล์เป็นพลังงานไฟฟ้าจะส่งผลบวกต่อต้นทุนและค่าใช้จ่ายของ ขสมก.ให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยการรับมอบรถเมล์ปรับอากาศ EV ล็อตแรกจำนวน 1,520 คัน จะนำมาให้บริการทดแทนรถเมล์เก่าที่มีอายุกว่า 30 ปี ดังนั้นจะทำให้ ขสมก.ประหยัดต้นทุนค่าซ่อมบำรุงทันที
ขณะเดียวกัน ขสมก.ยังผลักดันการจัดหารถเมล์ปรับอากาศ EV ในระยะต่อไปอีก 1,520 คัน เพื่อทำให้รถเมล์ของ ขสมก.เป็นรถเมล์พลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลด PM2.5 และทำให้ค่าใช้จ่ายของ ขสมก.ปรับลดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจัดหารถเมล์ในระยะที่ 2 จะดำเนินการในรูปแบบเปิดให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ซึ่งปัจจุบันสถานะของโครงการ กระทรวงคมนาคมมีหนังสือไปถึงกระทรวงการคลัง เพื่อขอให้บรรจุโครงการนี้อยู่ใน Project Pipeline แล้ว
อย่างไรก็ตาม การจัดหารถเมล์ระยะที่ 2 จะขอรับเงินสนับสนุนจากคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (กองทุน PPP) เพื่อเป็นค่าจ้างที่ปรึกษา ดำเนินการศึกษาโครงการนี้ พร้อมทั้งศึกษาความเหมาะสมรูปแบบร่วมทุนระหว่าง PPP Net Cost หรือ PPP Gross Cost คาดว่าภายในปีนี้จะเห็นเป็นรูปธรรม ทำให้ภาพรวมในปี 2568 โครงการจัดหารถเมล์ EV รวมกว่า 3,040 คัน จะดำเนินการแล้วเสร็จและเริ่มทยอยรับมอบให้บริการ