
ปตท. โชว์ปี 67 กำไร 90,072 ล้านบาท พร้อมกางแผนปี 68 ทุ่มงบ 2.5 หมื่นล้านบาท เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ชูกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติเป็นหลักเพื่อเพิ่มศักยภาพ ปัดควบรวม 3 กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น
21 ก.พ. 2568 – นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. บริษัท ปตท. จำเปิดเผยผลการดำเนินงาน ปตท. ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผล ที่ 2.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 6.6% อย่างไรก็ตามในช่วง5 ปี (2568-72 )ปตท.ได้จัดงบลงทุนไว้ 5.5หมื่นล้านบาท โดยในปี 2568 จะใช้งบลงทุน 2.5 หมื่ล้านบาท โดยเน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติเป็นหลักเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัทในการประกอบธุรกิจและสร้างรายได้ ผลกำไรและผู้ถือหุ้น โดยการลงทุนดังกล่าวน้อยกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ซี่งปีที่ผ่านมาอยู่ 2.6 หมื่นล้านบาท
“ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง เกิดจากบริหารจัดการและรวมพลังในองค์กร มีกำไรหลักมาจากธุรกิจ Upstream แม้ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐ มาชดเชยกับธุรกิจ Downstream ที่ได้รับความกดดันจากปัจจัยด้านราคา แต่เรื่องสำคัญคือการบริหารต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งกลุ่ม ปตท. รวมถึงการบริหารรายการพิเศษและบริหารผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและเงินกู้ได้ดี” นายคงกระพัน กล่าว
นายคงกระพัน กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ การเติบโตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ภาวะเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ความกังวลต่อนโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และแรงกดดันจาก อุปสงค์ที่ลดลงและอุปทานที่มากเกินความต้องการในธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมี โดยปี 2567 ที่ผ่านมา ปตท. ดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ใหม่ที่กลับมาเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon ที่ถนัดและเชี่ยวชาญ ทบทวนกลยุทธ์ Non-Hydrocarbon เน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้อง มี Synergy ในกลุ่ม ปตท. รวมถึงเน้นการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บริหารต้นทุน ด้วยการทำ Operational Excellence ทั้งกลุ่ม ปตท. นำ digital มาใช้ นอกจากนี้ มุ่งดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส เป็นธรรม และเป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี
อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 ธุรกิจ Hydrocarbon and Power ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่สร้างผลตอบแทนให้กับ ปตท. ประกอบด้วย การลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิต ผ่านบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) โดย ปตท.สผ. สามารถปรับเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติโครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) จากอ่าวไทยสู่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเข้าซื้อหุ้นร้อยละ 10 ในโครงการสัมปทานกาชา (Ghasha Concession Project) หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ธุรกิจ LNG มีปริมาณการนำเข้า LNG ทั้งสัญญาระยะยาว และสัญญาแบบ Spot รวม 9.6 ล้านตันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการพลังงานในประเทศ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย สร้างมูลค่าเพิ่ม 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากความร่วมมือภายในกลุ่ม และโรงกลั่นได้ปรับการผลิตน้ำมันดีเซลให้ได้มาตรฐานยูโร 5 เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ตามนโยบายของภาครัฐ ส่วนธุรกิจไฟฟ้า มีกำลังการผลิตเพิ่มเติม (อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) รวมทั้งหมด 15 GW โดยหลักมาจากการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ
สำหรับธุรกิจ Non-Hydrocarbon ได้ทบทวนกลยุทธ์ เน้นทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่ม ปตท. โดย EV ธุรกิจมุ่งเน้นการขยายสถานีชาร์จไฟฟ้าร่วมกับ OR ที่มีความพร้อมของ Ecosystem สำหรับ Life Science เป็นธุรกิจที่ดี แต่ต้องขับเคลื่อนได้ด้วยธุรกิจเอง self-funding มีผู้เชี่ยวชาญ
ปีที่ผ่านมารับรู้รายได้จากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท Alvogen Malta (Out-licensing) Holding Ltd. มูลค่า 4,500 ล้านบาท ของบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด สำหรับ Logistics ออกจากธุรกิจไม่สอดคล้องกับ ปตท. มุ่งเน้นที่สามารถต่อยอดและมี Synergy ภายในกลุ่ม ปตท.
นอกจากนี้ ปตท. มีกลยุทธ์สร้างการเติบโตควบคู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่ NET ZERO ผ่านแนวทาง C3 ได้แก่ C1 การปรับพอร์ทธุรกิจให้เติบโตควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอน C2 การปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด C3 ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage / CCS) รวมถึงเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติผ่านการปลูกป่า
เจตนารมณ์ของ ปตท. ในการขับเคลื่อนองค์กรบนพื้นฐานความยั่งยืนอย่างสมดุล เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ด้วยผลคะแนนอันดับ 1 ด้านความยั่งยืนอันดับสูงสุดของโลก (Top 1%) ของกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) ในรายงานประจำปี “The Sustainability Yearbook 2025” จากการประเมินของ S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) ประจำปี 2024 และได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน DJSI เป็นปีที่ 13 ติดต่อกัน เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ถึงการเดินทางบนความยั่งยืนของ ปตท. นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทเดียวในไทยที่ติดอันดับมูลค่าแบรนด์สูงสุดใน Brand Finance Global 500 และได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Fortune Southeast Asia 500 ให้เป็นบริษัทชั้นนำอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากพันธกิจหลักด้านพลังงาน ปตท. ยังให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย สร้างสมดุลเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ช่วยสังคมอย่างต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมาได้เปิดสวนเปรมประชาวนารักษ์ ณ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นแลนด์มาร์กสีเขียวแห่งใหม่ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ และยังเป็นการพัฒนาชุมชนในพื้นที่โดยรอบให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“ปีนี้ยังคงท้าทาย ปตท. มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโตควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก ต้องสร้างความแข็งแรงภายในองค์กร ลดความเสี่ยง รักษาเสถียรภาพให้กับธุรกิจ พิจารณาการลงทุนด้วยความระมัดระวัง พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน” นายคงกระพัน กล่าว
ส่วนกรณีกระแสข่าวควบรวมธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นของทั้ง 3 บริษัท บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำ กัด (มหาชน) หรือ GC ,บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ซึ่งปัจจุบัน ปตท. มีการถือหุ้นอยู่ในแต่ละบริษัทอยู่ที่ประมาณ 45% เพื่อรวมเป็นบริษัทเดียวกันนั้น ยืนยันไม่มีการเลิกหรือควบรวมแต่จะใช้กลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่งผ่านการหาพันธมิตรที่จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัทเหล่านี้โดยเฟ้นหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญมีตลาดและมีความแข็งแกร่งเพื่อเสริมสร้างธุรกิจปิโตรเคมีเหล่านี้ให้เติบโตยั่งยืนมากขึ้น“ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงของการเจรจาหาพันธมิตร ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มต่างชาติ เพราะมีเงินทุนจำนวนมากพอในการลงทุนธุรกิจ แต่ปตท.จะยังคงเน้นหาพันธมิตรที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทลูกและปตท. จะยังคงเป็นบริษัทแม่ที่ถือหุ้นในสัดส่วนสูงสุดเพื่อเป็นการบริหารธุรกิจให้ต่อเนื่อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เมื่อโลกเดือดจนเกินทน คนจึงคิดย้ายโลก
เมื่อโลกเดือดจนเกินทน คนจึงคิดย้ายโลก แต่ทางออกของปัญหา อาจเป็นคำตอบที่ไม่คาดคิด และมาพร้อมกับใครบางคนที่ไม่คาดฝัน! เพราะความสมดุล ทำให้โลกน่าอยู่ วันนี้ ปตท. จึงต้องสร้างความมั่นคงทางพลังงานไปพร้อมกับการลดคาร์บอนในทุกขั้นตอน และสร้างสังคมไทยที่แข็งแรง ไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เรามีความสุขที่ยั่งยืนไปด้วยกัน มาร่วมกันทำให้โลกน่าอยู่กันนะครับ
กลุ่ม ปตท. ผนึกพันธมิตรนำเข้าอีเทน เสริมศักยภาพธุรกิจปิโตรเคมี สร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืน
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ลงนามข้อตกลงจ้างเรือขนส่งอีเทนขนาดใหญ่ (Very Large Ethane Carriers : VLECs) กับ MISC Berhad ผู้นำด้านการขนส่งก๊าซเหลวระดับโลก และลงนามข้อตกลงใช้เรือ VLECs ในการขนส่งอีเทนกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC)
TEGH สุดสตรอง! ปี 67 รายได้เพิ่มขึ้น 38.86% กำไรโต 158.86% บอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผล 0.21 บ./หุ้น รับทรัพย์ 23 พ.ค. 68 ปักหมุดรายได้ปีนี้โต 30% – เล็งดันบ.ย่อย “TEBP”เข้าตลาด mai
บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) เปิดงบปี 2567 รายได้แตะ 16,843.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.86% กำไรสุทธิ 556.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158.86%