
‘สุริยะ’ มั่นใจปลายปีนี้ทุกโครงการบนถนน ‘พระราม2’ เสร็จ พร้อมเปิดให้ใช้บริการ สั่ง ทล. คุมเข้มทุกสัญญาก่อสร้าง-ลงพื้นที่กำจัดฝุ่นPM2.5 พร้อมเผยผลสอบเครนทรุดคาดใช้เวลาอีก 1 เดือนได้ข้อสรุป
17 ก.พ. 2568 – นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึง ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างบนทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) ว่า ในปัจจุบันถนนพระราม 2 โครงการก่อสร้างมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ความรับผิดชอบโดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ล่าสุดความก้าวหน้าภาพรวมโครงการอยู่ที่ 87.06% ซึ่งทุกสัญญางานด้านโยธาจะแล้วเสร็จภายในช่วง พฤศจิกายน 2568 และจะพิจารณาแนวทางในการเปิดให้ประชาชนใช้บริการต่อไป
สำหรับโครงการมอเตอร์เวย์ หมายเลข 82 สายบางขุนเทียน – เอกชัย – บ้านแพ้ว (M82) ระยะทาง 25 กม. ซึ่งในขณะนี้ ช่วงบางขุนเทียน – เอกชัย จำนวน 3 สัญญา มีความคืบหน้าแล้ว 98.42% และช่วง เอกชัย – บ้านแพ้ว จำนวน 10 สัญญา มีความคืบหน้าแล้ว 70.60% ซึ่งในส่วนของงานโยธาคาดแล้วเสร็จในช่วง พฤศจิกายน 2568 ส่วนงานระบบปัจจุบันอยู่ระหว่างคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน คาดได้ข้อสรุปภายในปี 2568-2569 และจะเริ่มก่อสร้าง รวมถึงดำเนินการงานด้านระบบปี 2569 พร้อมคาดแล้วเสร็จ ปี 2571 เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการต่อไป ทั้งนี้ระหว่างที่ดำเนินการงานระบบจะเปิดให้ประชาชนวิ่งผ่าน โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมผ่านทาง
นายสุริยะ กล่าวต่อถึง โครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก โดยทั้งหมดมี 5 สัญญา ซึ่งความก้าวหน้าก่อสร้าง ณ ม.ค. 68 แบ่งเป็น สัญญาที่ 1 คืบหน้า 81.70% สัญญาที่ 2 คืบหน้า 94.72% และสัญญาที่ 3 คืบหน้าแล้ว 83.78% สัญญาที่ 4 เสร็จสิ้นพร้อมเปิดให้บริการแล้ว และสัญญาที่ 5 คืบหน้า 2.69% โดยทุกสัญญานั้นยังคงดำเนินการเร็วกว่าแผนเล็กน้อย และอยู่ในขั้นตอนของการเร่งรัดดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ โดยการเพิ่มกำลังคนและเครื่องจักร เพื่อให้สามารถก่อสร้างเป็นไปตามแผนเร่งรัด เบื้องต้นมุ่งหวังให้ภายในปี 2568 จะเปิดให้ประชาชนได้ใช้บริการ พร้อมย้ำทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยและต้องไม่มีผลกระทบต่อผู้ใช้ทางอย่างเด็ดขาด
นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการก่อสร้างที่มีจำนวนมากบริเวณถนนพระราม 2 จึงมีความเสี่ยงต่อปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยได้สั่งการให้ ทล. นำรถบรรทุกน้ำออกพรมถนนและพื้นที่เกาะกลางที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง พร้อมทั้ง ฉีดล้างทำความสะอาดผิวจราจรช่องทางหลักและคู่ขนาน รวมถึงงานล้างทำความสะอาดและเก็บเศษดินบริเวณแนวแบริเออร์คอนกรีตและแผงผ้าใบ ทั้งนี้หากระดับปริมาณฝุ่นระออง PM 2.5 มีค่าเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะต้องดำเนินการปล่อยฝอยละอองน้ำความดันสูง เพื่อดักจับฝุ่นละอองทั่วทุกพื้นที่ที่มีความเสี่ยง
ด้าน นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่าโครงการก่อสร้างบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 มีความคืบหน้าดังนี้ แยกต่างระดับ บางขุนเทียน-เอกชัย สัญญา 1 คืบหน้า 98.13% คาดเสร็จ มี.ค.68 , สัญญา 2 คืบหน้า 98.41% คาดเสร็จ ก.พ.68 , สัญญา 3 คืบหน้า 98.73% คาดเสร็จ ก.พ.68 สำหรับ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 82 เอกชัย–บ้านแพ้ว สัญญา 1 คืบหน้า 78.66% คาดเสร็จ พ.ย.68 , สัญญา 2 คืบหน้า 73.44% คาดเสร็จ ส.ค.68 , สัญญา 3 คืบหน้า 77.21% คาดเสร็จ ส.ค.68 , สัญญา 4 คืบหน้า 55.53% คาดเสร็จ พ.ย.68 , สัญญา 5 คืบหน้า 82.96% คาดเสร็จ ส.ค.68 , สัญญา 6 คืบหน้า 54.84% คาดเสร็จ พ.ย.68 , สัญญา 7 คืบหน้า 45.94% คาดเสร็จ พ.ย.68 , สัญญา 8 คืบหน้า 77.98% คาดเสร็จ ส.ค.68 , สัญญา 9 คืบหน้า 87.78% คาดเสร็จ ส.ค.68 , สัญญา 10 คืบหน้า 71.65% คาดเสร็จ พ.ย.68 และโครงการบ้านแพ้ว คืบหน้า 80.93% คาดเสร้จ พ.ย.68
สำหรับความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีคานปูน (Segment) และโครงสร้างเหล็ก (Launching Gantry Crane) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 ที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงมุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลทางวิศวกรรมอย่างละเอียดรอบด้าน พิจารณาจากหลักฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค การให้ถ้อยคำของพยานบุคคลในช่วงเวลาเกิดเหตุ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องในทุกด้าน
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ 2 ประการ ได้แก่ 1. ภาวะไม่ปลอดภัยที่ตัวโครงสร้างเหล็ก (Launching Gantry Crane) และ 2. การกระทำที่ไม่ปลอดภัยที่มาจากการควบคุมการทำงานโดยบุคคล ซึ่งล่าสุดคณะกรรมการฯ ได้สรุปเบื้องต้นแล้วว่า เกิดจาก การกระทำที่ไม่ปลอดภัยที่มาจากการควบคุมการทำงานโดยบุคคล โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนพยานเพิ่มเติม คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ภายใน 1 เดือน เพื่อให้ผลการสอบสวนมีความถูกต้อง และเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันอุบัติเหตุในอนาคต และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน